วันอังคารที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2552

''''''MOI''''''


Je suis intelligente, sensible, nerveuse, méfiante et gaie.


Je n'aime pas les gens qui sont capricieux, hypocrites, menteurs, jaloux , égoïstes et paresseux.


Je suis gaie et sensible mais Je n’aime pas les gens qui sont capricieux.




วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2552

วันรัฐธรรมนูญ

วันรัฐธรรมนูญ
10 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันรัฐธรรมนูญ เพื่อเป็นการระลึกถึงรัฐธรรมนูญฉบับแรก อันเป็นฉบับถาวร เป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ และเป็นเครื่องกำหนดระเบียบแบบแผนของสังคม ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานให้กับปวงชนชาวไทย เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475

การเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ.2475 นับว่ามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์การปกครองของชาติไทยเนื่องจากเป็นการเปลี่ยนแปลง การปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช ซึ่งเป็นระบอบการปกครองที่ใช้กันมาเป็นเวลา 700 ปีเศษ มาเป็นระบอบประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ

สาเหตุที่เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 แห่งราชวงศ์จักรีทรงมีพระราชประสงค์ที่จะพระราชทานรัฐธรรมนูญเพื่อเป็นหลักในการปกครองของประเทศให้แก่ประชาชนชาวไทย
หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก ผลอันนี้ได้กระทบมาถึงไทยด้วย พระองค์ได้แก้ไขเศรษฐกิจโดยปลดข้าราชการออก ยังความไม่พอใจในหมู่ข้าราชการ
อิทธิพลจากตะวันตกเกี่ยวกับอุดมการณ์ทางการเมือง ทำให้กลุ่มคนหนุ่มต้องการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน
รัฐบาลได้ออกกฎหมายเก็บภาษี อาทิ ภาษีโรงเรือน ภาษีที่ดินจากราษฎร

จากสาเหตุดังกล่าวข้างต้น ทำให้เกิดความไม่พอใจในหมู่ข้าราชการทหาร และราษฎรทั่วไปจึงทำให้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยการปฎิวัติ มีคณะผู้รักษาการพระนครฝ่ายทหารซึ่งประกอบด้วยพันเอกพระยาพหลพยุหเสนา พันเอกพระยาทรงสุรเดช และพันเอกพระยาฤทธิอาคเนย์เป็นผู้บริหารประเทศ

วันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราวเรียกว่า "พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว" สาระสำคัญของธรรมนูญการปกครองฉบับนี้ ได้แก่ การที่กำหนดว่า อำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศหรืออำนาจอธิปไตยเป็นของราษฎรทั้งหลาย การใช้อำนาจสูงสุดก็ให้มีบุคคล คณะบุคคลเป็นผู้ใช้อำนาจแทนราษฎรดังนี้ คือ

พระมหากษัตริย์
สภาผู้แทนราษฎร
คณะกรรมการราษฎร
ศาล

ลักษณะการปกครองแม้จะเปลี่ยนระบอบการปกครองมาเป็นประชาธิปไตยแต่ก็ถือว่าพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของประเทศ เป็นสถาบันที่ถาวรและมีการสืบราชสมบัติต่อไปในพระราชวงศ์ การปฎิบัติราชการต่างๆจะต้องมีกรรมการราษฎรผู้หนึ่งเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ โดยได้รับความยินยอมจากคณะกรรมการราษฎร จึงจะใช้ได้สถาบันที่เกิดใหม่คือ สภาผู้แทนราษฎรซึ่งมีอำนาจทางนิติบัญญัติออกกฎหมายต่างๆ ซึ่งเมื่อพระมหากษัตริย์ลงพระปรมาภิไธยประกาศใช้แล้ว จึงจะมีผลบังคับได้ เหตุนี้ในระยะแรกของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง สภาผู้แทนจึงเป็นสถาบันที่มีอำนาจสูงสุดในทางการเมือง ส่วนการใช้อำนาจตุลาการยังคงให้ ศาลยุติธรรมที่มีอยู่แล้ว พิจารณาพิพากษาคดีให้เป็นไปตามกฎหมายได้ตามเดิม

กระทั่งถึงวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานรัฐธรรมนูญราชอาณาจักรสยาม ฉบับถาวรซึ่งมีหลักการต่างกับฉบับแรกในวาระสำคัญหลายประการ อาทิ ได้เปลี่ยนระบอบการปกครอง เป็นการปกครองแบบรัฐสภา ทั้งนี้เนื่องจากรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2475 ได้บัญญัติให้พระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นประมุขไม่ต้องรับผิดชอบทางการเมือง เป็นผู้ใช้อำนาจทางคณะรัฐมนตรี ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งให้บริการราชการแผ่นดินต่อสภาผู้แทน รัฐสภาซึ่งเป็นฝ่ายนิติบัญญัติมิได้ใช้แต่เพียงอำนาจนิติบัญญัติเท่านั้น แต่มีอำนาจที่จะควบคุมคณะรัฐมนตรีในการบริหารแผ่นดินด้วย แต่อย่างไรก็ตามคณะรัฐมนตรีรวมทั้งพระมหากษัตริย์ซึ่งประกอบกันเป็นรัฐบาลก็มีอำนาจที่จะยุบสภาผู้แทนได้ หากเห็นว่าได้ดำเนินการไปในทางที่จะเป็นภัยหรือเสื่อมเสียผลประโยชน์สำคัญของรัฐซึ่งมีผลเท่ากับถอดถอนสมาชิกสภาที่ได้รับเลือกตั้งมาเพื่อให้ราษฎรเลือกตั้งใหม่ ในส่วนเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์นั้น ได้บัญญัติว่า พระมหากษัตริย์ดำรงอยู่ในฐานะอันเป็น ที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้

อย่างไรก็ตามนับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองตั้งแต่ พ.ศ. 2475 มาจนถึงปัจจุบันรัฐธรรมนูญไทยมีทั้งสิ้นประมาณ 25 ฉบับ แต่ถ้านับเฉพาะฉบับที่สำคัญจะมีเพียง 18 ฉบับดังนี้

ฉบับที่ 1. ธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยาม พุทธศักราช 2427 ประกาศใช้บังคับเมื่อ วันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2475 รวมอายุการประกาศและบังคับใช้ 5 เดือน 13 วัน
ฉบับที่ 2.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 ประกาศใช้บังคับเมื่อ วันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 รวมอายุการประกาศและบังคับใช้ 13 ปี 5 เดือน
ฉบับที่ 3. รัฐธรรมนูญฉบับราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 ประกาศและบังคับใช้เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 รวมอายุการประกาศและการบังคับใช้ 1 ปี 5 เดือน 28 วัน
ฉบับที่ 4. รัฐธรรมนูญแห่งอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 ประกาศและบังคับใช้เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 รวมอายุการประกาศใช้ 1 ปี 4 เดือน 14 วัน
ฉบับที่ 5. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492 ประกาศและบังคับใช้เมื่อ วันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2492 รวมอายุการประกาศและบังคับใช้ 2 ปี 8 เดือน 6 วัน
ฉบับที่ 6. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475 แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2495 ประกาศและบังคับใช้ วันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2495 รวมอายุและประกาศบังคับใช้ 6 ปี 7 เดือน 12 วัน
ฉบับที่ 7. ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2502 ประกาศและบังคับใช้เมื่อวันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2502 รวมอายุการประกาศและบังคับใช้ 9 ปี 4 เดือน 20 วัน
ฉบับที่ 8. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2511 ประกาศและบังคับใช้เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2511 รวมอายุการประกาศและบังคับใช้ 3 ปี 4 เดือน 20 วัน
ฉบับที่ 9. ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2515 ประกาศและบังคับใช้เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2515 รวมอายุการประกาศและบังคับใช้เมื่อ วันที่ 15 ธันวาคม 2515 รวมอายุการประกาศและบังคับใช้ 1 ปี 9 เดือน 22 วัน
ฉบับที่ 10. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2517 ประกาศและบังคับใช้เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2517 รวมอายุการประกาศและบังคับใช้ 2 ปี
ฉบับที่ 11. รัฐธรรมนูญราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2519 ประกาศและบังคับใช้เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2519 รวมอายุการประกาศและบังคับใช้ 1 ปี
ฉบับที่ 12. ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2520 รวมอายุการประกาศและบังคับใช้ 1 ปี 13 วัน
ฉบับที่ 13. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2521 (แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2528)
ฉบับที่ 14. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534
ฉบับที่ 15. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534
ฉบับที่ 16. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540
ฉบับที่ 17. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2549 (ฉบับชั่วคราว)
ฉบับที่ 18. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 (รัฐธรรมนูญ ฉบับลงประชามติ)

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550

สมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชสยามินทราธิราช บรมนาถบพิตรตราไว้ ณ วันที่ ๒๔ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐เป็นปีที่ ๖๒ ในรัชกาลปัจจุบัน

ศุภมัสดุ พระพุทธศาสนากาลเป็นอดีตภาค ๒๕๕๐ พรรษา ปัจจุบันสมัย จันทรคตินิยม สูกรสมพัดสร สาวนมาส ชุณหปักษ์ เอกาทสิดิถี สุริยคติกาล สิงหาคมมาส จตุวีสติมสุรทิน ศุกรวาร โดยกาลบริเฉท

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ประกาศว่า ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้นําความกราบบังคมทูลว่า การปกครองของประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขได้ดําเนินวัฒนามากว่าเจ็ดสิบห้าปี ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ได้มีการประกาศใช้ ยกเลิก และแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญหลายครั้ง เพื่อให้เหมาะสมแก่สภาวการณ์ของบ้านเมืองและกาลสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป และโดยที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๔๙ ได้บัญญัติให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญและคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญขึ้น มีหน้าที่จัดทําร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทั้งฉบับสําหรับเป็นแนวทางการปกครองประเทศ โดยให้ประชาชนมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นอย่างกว้างขวางทุกขั้นตอนและนําความคิดเห็นเหล่านั้นมาเป็นข้อคํานึงพิเศษ ในการยกร่างและพิจารณาแปรญัตติโดยต่อเนื่อง

ร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่จัดทําใหม่นี้มีสาระสําคัญเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ร่วมกันของประชาชนชาวไทย ในการธํารงรักษาไว้ซึ่งเอกราชและความมั่นคงของชาติ การทํานุบํารุงรักษาศาสนาทุกศาสนาให้สถิตสถาพร การเทิดทูนพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และเป็นมิ่งขวัญของชาติ การยึดถือระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเป็นวิถีทางในการปกครองประเทศ การคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ให้ประชาชนมีบทบาทและมีส่วนร่วมในการปกครอง และตรวจสอบการใช้อํานาจรัฐอย่างเป็นรูปธรรม การกําหนดกลไกสถาบันทางการเมืองทั้งฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายบริหาร ให้มีดุลยภาพและประสิทธิภาพตามวิถีการปกครองแบบรัฐสภา รวมทั้งให้สถาบันศาล และองค์กรอิสระอื่นสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้โดยสุจริตเที่ยงธรรม

เมื่อจัดทําร่างรัฐธรรมนูญเสร็จแล้ว สภาร่างรัฐธรรมนูญได้เผยแพร่ให้ประชาชนทราบและจัดให้มีการออกเสียงประชามติเพื่อให้ความเห็นชอบแก่ร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ การออกเสียงลงประชามติ ปรากฏผลว่า ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งโดยเสียงข้างมากของผู้มาออกเสียงประชามติเห็นชอบให้นําร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่มาใช้บังคับ ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติจึงนําร่างรัฐธรรมนูญขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย ให้ประกาศใช้เป็นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยสืบไป ทรงพระราชดําริว่าสมควรพระราชทานพระบรมราชานุมัติตามมติของมหาชน

จึงมีพระบรมราชโองการดํารัสเหนือเกล้าเหนือกระหม่อมให้ตรารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับนี้ขึ้นไว้ ให้ใช้แทนรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๔๙ ซึ่งได้ตราไว้ ณ วันที่ ๑ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙ ตั้งแต่วันประกาศนี้เป็นต้นไป

ขอปวงชนชาวไทย จงมีความสมัครสโมสรเป็นเอกฉันท์ ในอันที่จะปฏิบัติตามและพิทักษ์รักษารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยนี้ เพื่อธํารงคงไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตยและอํานาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทย และนํามาซึ่งความผาสุกสิริสวัสดิ์พิพัฒนชัยมงคลอเนกศุภผลสกลเกียรติยศสถาพรแก่อาณาประชาราษฎรทั่วสยามรัฐสีมา สมดั่งพระบรมราชปณิธานปรารถนาทุกประการ เทอญ

ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
มีชัย ฤชุพันธุ์
ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันรัฐธรรมนูญ

วันอังคารที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2552

สุลักษณ์ ศิวรักษ์



สุลักษณ์ ศิวรักษ์ หรือที่รู้จักกันในนามปากกาว่า ส. ศิวรักษ์ เป็นนักคิด นักเขียนชั้นแนวหน้าของประเทศไทย มีชื่อเสียงอย่างมากในเรื่องการวิจารณ์อย่างไม่เกรงใจใคร ไม่เกรงอำนาจผู้ใด ได้รับ รางวัลอัลเทอเนทีฟโนเบล ในปี พ.ศ. 2538
ประวัติ
สุลักษณ์ ศิวรักษ์ เกิดเมื่อวันที่
27 มีนาคม พ.ศ. 2475 ที่กรุงเทพมหานคร มีชื่อเล่นว่า แป๊ะ หรือ เหม่ เป็นบุตรคนเดียวของ นายเฉลิม - นางสุพรรณ. สมรสกับ นางนิลฉวี มีบุตร 3 คน เป็นชาย 1 คน และ หญิง 2 คน
[
แก้] การศึกษา
พ.ศ. 2495 จบชั้นมัธยมปีที่ 8 จาก โรงเรียนอัสสัมชัญ บางรัก ซึ่งเป็น โรงเรียนคริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิก โดยเข้าเรียนครั้งแรกในชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ในปี พ.ศ. 2486 แล้วต้องพักการเรียน เพราะภัยจากสงครามโลกครั้งที่ 2 เกือบ 3 ปี ในระหว่างนี้ จึงได้บรรพชาเป็นสามเณรที่ วัดทองนพคุณ อันเป็นช่วงที่ได้รับประสบการณ์จากระบบการศึกษาของวัดในพุทธศาสนา แล้วกลับมาศึกษาต่อที่โรงเรียนอัสสัมชัญในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ในปี พ.ศ. 2489 จนสำเร็จการศึกษา
พ.ศ. 2500 สำเร็จการศึกษาปริญญาตรีทางด้านปรัชญาประวัติศาสตร์ และวรรณคดี จากวิทยาลัยเซนต์เดวิด เมืองแลมปีเตอร์ ในแคว้นเวลส์
พ.ศ. 2503 เนติบัณฑิตอังกฤษ จากสำนักเดอะมิดเดิ้ล เทมเปิล
พื้นฐานทางครอบครัว
ครอบครัวของ ส. ศิวรักษ์ มีเชื้อสายไทย-จีน โดยบรรพบุรุษทั้งหมดมาจากเมืองจีนเดินทางเข้ามาตั้งรกราก และแต่งงานกับคนไทยตั้งแต่
สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น จนถึงสมัยรัชกาลที่ 5 แม้พื้นฐานครอบครัวจะได้รับอิทธิพลของวัฒนธรรมจีนก็ตาม แต่ก็ได้ผสมผสานจนกลายเป็นครอบครัวคนไทยที่นับถือพุทธศาสนาแบบเถรวาทเป็นหลัก ส่วนพื้นฐานทางเศรษฐกิจเป็นตระกูลที่ประกอบอาชีพค้าขายเป็นส่วนใหญ่ มีเพียงส่วนน้อยที่รับราชการในส่วนกลาง แต่ในช่วงที่สุลักษณ์เกิดนั้น เป็นช่วงที่ฐานะทางเศรษฐกิจอยู่ในช่วงตกต่ำเกือบถึงขีดสุด จึงแยกครอบครัวมาอยู่ที่ ซอยสันติภาพ ถนนนเรศ อันเป็นบ้านที่สุลักษณ์อาศัยอยู่ในปัจจุบัน
หลังจากที่บิดาถึงแก่กรรมในปี
พ.ศ. 2489 สุลักษณ์ ซึ่งตอนนั้นยังอยู่ในช่วงมัธยมต้น ก็ต้องช่วยตัวเอง และต่อมาก็ได้รับการอุปการะจากมารดาจนกระทั่งสำเร็จการศึกษา
ผลงานหนังสือ
อาจารย์ป๋วยกับสังคมไทย 2543
สถาบันพระมหากษัตริย์กับอนาคตของประเทศไทย 2539
แหวกแนวคิด 2538
ความเข้าใจในเรื่องพระพุทธเจ้า และมหาสาวิกาสมัยพุทธกาล 2534
อโปโลเกีย (โสกราตีสแก้คดี) 2534
ยูไทโฟร (วิธีการของโสกราตีส) 2534
ศิลปะแห่งการแปล 2534
ที่สุดแห่งยั่วให้แย้ง 2534
ที่สุดแห่งสังคมสยาม 2533
มนุษย์ที่แท้ มรรควิถีของจางจื๊อ 2533
สี่สัปดาห์ในออสเตรเลีย หรือไปออสเตรเลียกับพระยาอนุมานราชธน 2532
ควายไม่ฟังเสียงซอ 2532
ปาฐกถาเรื่อง แนวคิดทางปรัชญาไทย 2532
แนวคิดทางปรัชญาการเมืองซอ
อริสโตเติล 2532
คำประกาศความเป็นไท หรือลายไทกับปัญญาชนสยาม 2531
ซากผ่าขวาน 2531
คันฉ่องส่องวรรณกรรม 2531
ดังทางด่า 2531
ทิศทางใหม่สำหรับมหาวิทยาลัยเพื่อปวงชน 2531
ลอกคราบวัฒนธรรมไทย (มาเข้าใจวัฒนธรรมกันดีกว่า) 2531
เสฐียรโกเศศตามทัศนะ ส.ศิวรักษ์ 2531
ภูฐาน สวรรค์บนดิน 2531
คันฉ่องส่องบุคคลร่วมสมัย 2531
ภาษาไทยกับคนรุ่นใหม่ 2530
ทหารกับการเมืองไทย 2530
ศาสนากับการพัฒนา 2530
บันทึกของคนเดินทาง 2530
สยามวิกฤต 2530
ต่างฟ้า ต่างฝัน 2529
ฟ้าต่ำแผ่นดินสูง 2528
ลอกคราบสังคมไทยเพื่ออนาคต 2528
ลอกคราบสังคมเพื่อครู 2528
เรื่อง กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร ตามทัศนะ ส. ศิวรักษ์ 2528
ก้าวแรกของปรัชญาฝรั่ง รวมเรื่องเบื้องต้นเกี่ยวกับปรัชญาตะวันตก 2526
ศิลปะแห่งการแปล 2526
สัมภาษณ์ ม.จ.จงจิตรถนอม ดิศกุล 2529
ศิลปะแห่งการพูด 2526
ศาสนากับสังคมไทย 2525
สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพตามทัศนะของ ส. ศิวรักษ์ ในช่วง 30 ปี ตั้งแต่ พ.ศ. 2493-พ.ศ. 2523 2525
รวมคำอภิปราย บทความและบทสัมภาษณ์ ส.ศิวรักษ์ ที่เกี่ยวกับชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ในศตวรรษที่สามแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ 2525
อยู่อย่างไทย ในสมัยศตวรรษที่สามแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ รวมปาฐกถา ส. ศิวรักษ์ ที่แสดงใน ร.ศ.199 2525
พูดไม่เข้าหูคน 2524
คันฉ่องส่องครู 2524
ผู้ใหญ่ที่ข้าพเจ้ารู้จัก (ทั้งที่กะล่อนและไม่กะล่อน) 2524
โสกราตีส บุคคลิกลักษณะ ประวัติและปรัชญา 2523
บุคคลร่วมสมัยในทัศนะ ส.ศิวรักษ์ 2523
ห้าชีวประวัติในทัศนะ ส.ศิวรักษ์ 2523
ศาสนากับสังคมไทย 2523
อนาคตของไทยในสายตา ส. ศิวรักษ์ 2522
อนาคตและอุดมคติสำหรับไทย 2522
คันฉ่องส่องพระ 2522
คันฉ่องส่องศาสนา 2522
พระผู้ใหญ่ที่ไม่กะล่อน พระธรรมเจดีย์ที่ข้าพเจ้ารู้จัก 2522
ผู้ใหญ่ที่ไม่กะล่อน นายป๋วย อึ้งภากรณ์ ที่ข้าพเจ้ารู้จัก 2522
คุยกับกรมหมื่นพิทยลาภฯ 2520
ศาสนากับการพัฒนา 2519
นักปรัชญาการเมืองฝรั่ง 2519
คุณความดีสอนกันได้หรือไม่ - แปลจากเมโน 2518
จดหมายเหตุจากถนอมถึงคึกฤทธิ์ (ผ่านสัญญา และเสนีย์) 2518
ตายประชดป่าช้า 2516
กินน้ำเห็นปลิง 2516
อดีตของอนาคต 2516
ปรัชญาการศึกษา 2516
ปีแห่งการอ่านหนังสือของ ส. ศิวรักษ์ 2515
สมุดข้างหมอน 2514
จากยุววิทยา ถึงวิทยาสารปริทัศน์ 2514
ตามใจผู้เขียน 2514
วาระสุดท้ายของโสกราตีส 2514
โสกราตีสในคุก 2514
วิธีการของโสกราตีส 2514
คุยคนเดียว ของส. ศิวรักษ์ 2513
ปัญญาชนสยาม 2512
นอนต่างแดน 2512
สัมภาษณ์เสฐียรโกเศศ 2512
ชวนอ่านและวิจารณ์หนังสือต่างๆ ของส. ศิวรักษ์ 2512
สัมภาษณ์เสฐียรโกเศศและพระยาอนุมานราชธนที่ข้าพเจ้ารู้สึก 2512
ไทยเขียนฝรั่ง 2511
แนะหนังสือสำหรับผู้หญิง ของ ส.ศิวรักษ์ 2513
สรรพสาระ ของ ส. ศิวรักษ์ 2511
ลายสือสยาม 2510
ความคิด-ความอ่าน และ นานาสังวาส ส.ศิวรักษ์ 2510
พระดีที่น่ารู้จัก 2510
ฝรั่งอ่านไทย และแบบอย่างการแปลหนังสือ กับเรื่องแปลต่าง ๆ 2510
ของดีจากธิเบต รวมเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับพุทธศาสนาในธิเบต 2510
หนังสือสนุก 2508
จดหมายรักจากอเมริกา 2508
คันฉ่องส่อง ส.ศิวรักษ์ 2508
โสกราตีส บุคคลิกลักษณะ ประวัติและปรัชญาโดยบริบูรณ์ 2507
ทฤษฎีแห่งความรัก 2507
ช่วงแห่งชีวิตของ ส.ศิวรักษ์ แต่ก่อนเกิดจนจบการศึกษาจากเมืองอังกฤษ 2507
ศิวพจนาตถ์ 2506
เสด็จอังกฤษ 2505
มาพูดภาษาไทยกันดีกว่า 2504
สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ 2501

วันอังคารที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2552

วันพ่อแห่งชาติ



ความเป็นมาวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวา ( วันพ่อ )
5 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทางราชการได้กำหนดให้เป็นวันหยุดราชการหนึ่งวัน เพื่อให้ประชาชนชาวไทย ได้ร่วมกันเฉลิมฉลองในวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ ถือเป็นวันพ่อแห่งชาติ อีกวันหนึ่งด้วย วันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีความเป็นมาของวันสำคัญ คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระราชสมภพเมื่อ วันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 ณ โรงพยาบาล เมาท์ ออเบิร์น นครบอสตัน สหรัฐอเมริกา โดยนายแพทย์วิทท์มอร์ เป็นผู้ถวายการประสูติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติเป็นรัชกาลที่ 9 แห่งบรมจักรีวงศ์ กรุงรัตนโกสินทร์ ทรงประกอบพระราชกรณียกิจและเจริญพระราชจริยาวัตรเป็นเอนกประการ จำเนียรกาลผ่านมาถึงปัจจุบันที่สุดจะพรรณนาให้ครบถ้วนได้ ท่ามกลางมหาสมาคมวันพระราชพิธีพระบรมราชาภิเษก ทรงมีกระแสพระราชดำรัสที่พสกนิกรทุกคนยังจดจำได้ "เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม" อันคำว่าโดย "ธรรม" นั้น ทรงหมายถึง ธรรมอันล้ำเลิศที่เรียกว่า "ทศพิธราชธรรม" หรือที่เรียกกันโดยสามัญว่า "ราชธรรม 10 ประการ" ราชธรรม 10 ประการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงยึดมั่นทรงปฎิบัติโดยเคร่งครัด และส่งผลถึงพสกนิกรทั่วพระราชอาณาจักรนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณเหนือเกล้าฯ วันพ่อแห่งชาติ ได้จัดให้มีขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2523 โดยคุณหญิงเนื้อทิพย์ เสมรสุต นายกสมาคมผู้อาสาสมัครและช่วยการศึกษาเป็นผู้ริ่เริ่ม หลักการและเหตุผลในการจัดตั้งวันพ่อ โดยที่พ่อเป็นผู้มีพระคุณที่มีบทบาทสำคัญ ต่อครอบครัวและสังคม สมควรที่ผู้เป็นลูกจะเคารพเทิดทูนตอบแทนพระคุณด้วยความกตัญญู และสมควรที่สังคมจะยกย่องให้เกียรติรำลึกถึงผู้เป็นพ่อ จึงถือเอาวันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปีซึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาเป็น "วันพ่อแห่งชาติ" ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยอย่างนานัปการ ทรงเป็นพระราชบิดาของพระราชโอรสและพระราชธิดา ทรงรักใคร่และห่วงใยตั้งแต่พระเยาว์จนถึงปัจจุบัน รวมทั้งพระเจ้าหลานเธอทุกพระองค์ต่างซาบซึ้งและปลาบปลื้มในพระมหากรุณาธิคุณอย่างมิรู้ลืม พระองค์ทรงเป็น "พ่อ" ตัวอย่างของปวงชนชาวไทยที่เปี่ยมล้นด้วยพระเมตตากรุณา ทรงห่วงใยอย่างหาที่เปรียบมิได้

วันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

26 เรื่องที่ควรรู้


01. วิธีรักษาโรคกระเพาะอาหาร ที่เริ่มเป็นหรือเป็นมานานเรื้อรังให้ปฏิบัติดังต่อไปนี้1. ทานข้าวให้ตรงเวลาอยู่เสมอ หากติดขัดให้ดื่มนมสดรสจืดแทน2. งดอาหารรสจัดต่างๆ ที่สำคัญมากห้ามใส่น้ำส้มสายชูเด็ดขาด3. ห้ามดื่มเครื่องดื่มประเภทน้ำอัดลม และน้ำแข็งก้อน (น้ำแข็งแช่เองในตู้เย็นทานได้บ้างไม่เป็นไร)4. ข้อนี้สำคัญสุด ให้ทานยา อูลกัสตริน ต้องเคี้ยวตัวยาให้ละเอียดด้วยก่อนกลืน ทานยานานสองเดือน
02. ปวดประจำเดือนอาการปวดประจำเดือนเกิดจากมดลูกมีการปีบตัวมากเกินไป เกิดอาการปวดเกร็งที่ท้องน้อยมากสมุนไพรที่ใช้แก้ปวดประจำเดือนมีอยู่หลายขนาน แต่ขอแนะนำเพียง 2 อย่าง1.ให้กิน งาดำคั่วบดผง วันละ 2 ครั้ง ครั้งละครึ่งช้อนชาเป็นประจำ เนื่องจากเป็นอาหารที่มีแร่ธาตุสูง โดยเฉพาะเหล็ก และแคลเซียม2.ใช้ ไพล หรือ ลูกใต้ไฟ หรือ ใบขี้เหล็กตัด อย่างใดอย่างหนึ่ง ประมาณ 1 กำมือใช้น้ำพอท่วมยา ต้มนาน 10-15 นาที ดื่มครั้งละ1/2 แก้วทุก 4 ชั่วโมงจะช่วยลดอาการปวดได้ข้อสำคัญหากมีอาการผิดปรกติอย่างอื่นร่วมด้วย อย่างเช่น มีเมือกออกมาพร้อมกับมีกลิ่นน่ารังเกียจ ควรพบแพทย์ด่วน เพื่อตรวจรักษา
03. การนั่งเล่นคอมฯนานๆและใช้มือจับเมาส์โดยปล่อยให้ข้อมือหรือส่วนของแขนสัมผัสขอบโต๊ะเป็นเวลานานหลายชั่วโมง และเป็นประจำบ่อยๆ นานวันเข้าจะไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพ เพราะบริเวณส่วนของร่างกายที่สัมผัสกับขอบโต๊ะนานนั้น ระบบวงจรการส่งผ่านของเลือดจะไปไม่สดวก มีวิธีแก้ไขง่ายๆโดยหาผ้านุ่มๆพับเป็นสี่เหลี่ยมหนาๆ แล้วนำมารองรับส่วนของร่งกายที่สัมผัสขอบโต๊ะ ก็จะช่วยแก้ปัญหานี้ได้
04. อากาศหนาวเย็น ควรหาผ้าพันคอไว้ จะได้ไม่เจ็บคอเวลานอนให้สรวมถุงเท้าไว้ด้วยจะได้ไม่เป็นหวัดง่าย ดื่มน้ำอุ่นหรือน้ำชาจีนอุ่นๆเสริมความอบอุ่นกับร่างกาย หากหนาวนักไม่ถูกกับน้ำ(ไม่ใช่กลัวน้ำ) ก็ใช้แบบทันสมัยหน่อย คือซักแห้ง ดีไปอย่างเก็บกลิ่นเดิมๆไว้ คนชิดใกล้จะได้จำถูกคน
05. การบูร ภัยใกล้ตัวทำลายเยื่อจมูกขาดแพทย์เตือนผู้นิยมใส่ในรถ-ห้องปรับอากาศ ชี้ระเหิดกลายเป็นไอเข้มข้นอันตรายต่อเยื่อจมูก มหาวิทยาลัยมหิดล เตือนผู้นิยมนำการบูร มีทั้งคุณและโทษ ต้องใช้ให้ดี ถ้าอยู่ใกล้ตัวใส่มากจะทำลายเยื่อบุจมูกได้ ระบุปกติจะใส่ในตู้เสื้อผ้าและที่มีกลิ่นอับ พร้อมแนะประคบสมุนไพรลดอาการปวดเมื่อย เคล็ดขัดยอกในฤดูหนาว ช่วยลดอาการอักเสบได้ รศ.พร้อมจิตต์ ศรลัมภ์ รองคณบดีคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่าปัจจุบันประชาชนนิยมนำการบูรมาใส่ในห้องปรับอากาศหรือในรถยนต์ โดยที่ไม่ทราบว่าประโยชน์ที่แท้จริงคืออะไร อยากฝากเตือนว่า ไม่อยากให้นำการบูรไปใส่ในห้องปรับอากาศหรือรถยนต์ เพราะการบูรระเหิดกลายเป็นไอ ถ้ามีปริมาณเข้มข้นในอากาศทำให้ระคายเคืองต่อเยื่อบุจมูกเป็นอันตรายได้ ปกติจะใส่ในตู้เสื้อผ้าหรือบริเวณที่มีกลิ่นอับ แต่ไม่ควรใส่ห่อใหญ่เกินไป ควรใส่การบูรเล็กน้อยพอไม่ให้ตู้มีกลิ่นอับเท่านั้น ถ้าใส่มากเกินไปอาจทำลายเยื่อจมูกได้
06. ดื่มน้ำอย่างไรให้ถูกวิธีการดื่มน้ำ ถ้าจะให้ดีก็ต้องดื่มให้ถูกวิธีด้วยนะคะ เพื่อที่ว่านอกจากทำให้ร่างกายนำน้ำไปใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่แล้ว ยังทำให้อวัยวะต่างๆแข็งแรงอีกด้วย วันนี้เราก็นำหลักปฏิบัติง่ายๆมาฝากค่ะดื่มทุกครั้งที่ร่างกายร้องขอ แต่อย่าพรวดพราดดื่มทีละมากๆ เพราะนั่นจะไปเพิ่มภาระให้ระบบขับถ่ายอย่าง ไต ปอด ม้าม รวมทั้งระบบย่อยด้วยที่เรียนกันมาว่าต้องดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้วนั้น หมายรวมถึงปริมาณทั้งหมดที่รับในแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็นน้ำจากผัก ผลไม้ น้ำแกง น้ำก๋วยเตี๋ยว ฯลฯ ถ้าคุณรับประทานอาหารรสที่ไม่จัดจ้านจนเกินไป คุณก็แทบจะไม่กระหายน้ำเลย แต่หากรับประทานเนื้อสัตว์ ของหวานจัด หรืออาหารแห้งๆ ทอด ย่าง ปิ้ง ร่างกายก็จะเรียกหาน้ำมากขึ้น ทำให้อวัยวะต่างๆทำงานหนัก ผลก็คือมันจะทรุดโทรมลงก่อนวัยอันควรอากาศร้อนของบ้านเรา ทำให้แทบทุกคนชอบเครื่องดื่มเย็นๆ จนติดเป็นนิสัยแม้ในช่วงที่มีอากาศเย็น ซึ่งทำให้อวัยวะต้องปรับน้ำที่เย็นกว่าให้เท่ากับอุณหภูมิร่างกายก่อนนำไปใช้ ส่งผลให้ร่างกายอ่อนแอลง ระบบย่อยอาหารไม่ดี หรือปวดประจำเดือน จึงควรดื่มน้ำอุ่นๆ เพื่อให้ร่างกายขับเหงื่อ และดื่มตอนที่รู้สึกกระหาย ที่สำคัญคือ ไม่ควรดื่มน้ำระหว่างรับประทานอาหาร เพราะทำให้น้ำย่อยเจือจาง ระบบย่อยอาหารทำงานช้าลง ร่างกายจะได้รับสารอาหารไม่เต็มที่ วิธีแก้ไขคือจิบน้ำอุ่น หรือซดน้ำซุปแก้ฝืดคอแทน แล้วเคี้ยวอาหารช้าๆ ให้ละเอียดก่อนกลืน จะช่วยลดการกระหายน้ำได้หากคุณต้องการดื่มน้ำให้ได้ประโยชน์ต่อร่างกายจริงๆ ควรดื่มตอนที่เพิ่งลุกจากเตียงหมาดๆ, ระหว่างมื้ออาหาร 1 ชั่วโมงก่อนอาหาร, และหลังจากอิ่มแล้วครั่งชั่วโมง นี่แหละค่ะดีต่อสุขภาพสุดๆ
07. ก้างปลาติดคอทำยังไงดีเวลากินข้าวอร่อยๆแล้วเกิดก้างปลาติดคอขึ้นมานี่ไม่สนุกเลยจริงไหมครับ บางคนก้างปลาติดคอ เข้าครั้งหนึ่ง ก็เลิกกินปลาไป นานเลยด้วย ความเข็ดขยาด ทำให้ขาดอาหารที่มีคุณค่าไปอีกอย่าง อย่างน่าเสียดาย ต่อไปนี้ถ้าเกิดก้างปลาติดคอ อย่าเพิ่งตกใจ ให้ลองทำตามวิธีต่อไปนี้กลืนน้ำอึกใหญ่ๆเข้าไป หรือจะปั้นข้าวเป็นก้อนกลืนเข้าไปทั้งก้อน โดยไม่ต้องเคี้ยวก็ได้ ใครมีกล้วยน้ำว้ากล้วยหอมอยู่ใกล้ๆ ก็กัดคำโตๆ แล้วกลืนลงไปเลยทั้งคำ ขนมปังปอนด์ที่นุ่มๆก็ช่วยได้สิ่งเหล่านี้ จะช่วยพาก้างปลาที่ติดอยู่หลุดลงคอไปพร้อมกัน ที่สำคัญคือ อย่าเอานิ้วล้วงเข้าไปเขี่ย ก้างปลาที่ติดคอ เป็นอันขาด เพราะจะยิ่งทำให้ก้างตำลึกเข้าไป เอาออกยากขึ้น ถ้าทำตามวิธีข้างต้นมาหมดแล้ว ยังไม่ได้ผล ก็ต้องรีบไปหาหมอเสีย แล้วล่ะครับ
08. สิวเกิดขึ้นได้ยังไง และจะรักษาอย่างไรคนที่เป็นสิวมักจะกลุ้มอกกลุ้มใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่กำลังจะโตเป็นหนุ่มเป็นสาวยิ่งกลุ้มใจนัก เพราะอายกลัวจะไม่สวย สิวนั้น เกิดขึ้นเพราะ ต่อมไขมันที่มีอยู่ตามผิวหน้าขับไขมันออกมา เมื่อไปรวมตัวกับฝุ่นละอองก็ทำให้เกิดการอุดตันที่ช่องขนของผิว จนอัก เสบขึ้นเป็นฝีหัวเล็กๆ เรียก กันว่าสิววิธีการรักษาก็คือ รักษาความสะอาดของหน้าอยู่เสมอ โดยล้างด้วยสบู่อ่อนๆอย่าปล่อยให้ท้องผูก โดยการออกกำลังกายทุกวัน อย่ากินอาหาร ที่มีไขมันมาก แล้วก็อย่าให้ผมสกปรก สิวก็จะไม่มาราวีแน่นอน
09. ดอกเล็บมีความหมายจริงหรือมีคนเชื่อว่า ถ้าใครมีดอกเล็บขึ้นที่เล็บใดเล็บหนึ่ง แสดงว่าคนๆนั้นกำลังจะมีคนรัก ความจริงแล้ว ดอกเล็บจะปรากฎให้เราเห็นเมื่อ เล็บของเราชำรุด หรือสุขภาพไม่สมบูรณ์ต่างหาก ฝรั่งเองก็มีความเชื่อเกี่ยวกับเล็บเหมือนกัน เช่นว่าถ้าเล็บขึ้นที่หัวแม่มือแปลว่าคนๆนั้น กำลังจะได้รับของกำนัล ขึ้นที่นิ้วชี้แปลว่าจะได้เพื่อนให้ ขึ้นที่นิ้วกลางแปลว่าจะมีศัตรู ขึ้นที่นิ้วนางแปลว่าจะได้รับจดหมาย ขึ้นที่นิ้วก้อยแปลว่าจะได้เดินทาง อ่านถึงตรงนี้แล้วหลายคนคงจะก้มลงดูเล็บของตัวเองกันใหญ่ว่ามีดอกเล็บขึ้นที่ตรงไหนบ้างหรือเปล่า แต่อย่าลืมว่านี่เป็นเพียงความเชื่อของคนเท่านั้น อาจจะไม่เป็นความจริงก็ได้ ที่แน่ๆก็คือเราจะต้องรีบกินอาหารที่มีแคลเซี่ยมเพื่อไปบำรุงเล็บโดยด่วน เพราะทางการแพทย์ถือว่าเล็บของใครมีดอกเล็บขึ้นมา แสดงว่าเล็บกำลังป่วยเสียแล้ว
10. ฟันผุเพราะอะไรคนที่กินขนมแล้วไม่ชอบแปรงฟัน มักจะเป็นเจ้าของฟันที่ผุเป็นรูกลวง ทำให้ปวดฟันและเคี้ยวอาหารไม่สะดวก อาการฟันผุที่ว่านี้ บางคนก็ปัก ใจเชื่อว่า เกิดจากหนอนมาชอนไชฟัน แต่ความจริงแล้ว ฟันผุเพราะแบคทีเรียที่มีอยู่ในปากตามธรรมชาติต่างหากล่ะ เมื่อไรที่มีเศษอาหารติดค้างอยู่ที่ฟัน แบคทีเรียในปากก็จะเปลี่ยนเศษอาหารให้เป็นกรด มาทำลายฟันของเราจนเป็นรูโบ๋ เพราะฉะนั้น เราก็ควรจะระวังไม่ให้มีเศษอาหารอยู่ตามซอกฟัน กินอาหารเสร็จแล้วก็ต้องรีบแปรงฟันเลย จะได้เป็นเจ้าของฟันสวยๆประทับใจเวลายิ้มยังไงล่ะ
11. กวางตุ้งกวางตุ้งเข้ามาเมืองไทยจนเรากินเป็นผักไทยไปแล้ว ผักกวางตุ้งต้ม ลวก ผัดก็อร่อย แต่ดีที่สุดต้องปิดฝาเวลาตั้งไฟเพื่อความ อร่อยปลอดภัย กินกวางตุ้งเท่าไรก็ไม่อ้วน หุ่นเพรียวเป็นกวาง เพราะกวางตุ้งไขมันน้อย กากใยมาก กินแล้วไปห้องแห่งความ สุขได้สบาย ไม่ต้องออกแรง ... กวางตุ้งกินแล้วร่างกายได้ภูมิต้านทานดีนัก กินให้มากหลากหลาย ระบบภายในจะได้ตุ้งแช่ ตุ้งแช่ ทำงานครึก ครื้นสมบูรณ์ดี
12. กุยช่ายเสน่ห์กุยช่ายอยู่ที่กลิ่น แต่คุณค่าทางอาหารอยู่ที่สีเขียวเข้มที่จะชี้จะๆว่า กุยช่ายอุดมสารอาหาร ทั้งเบต้า-แคโรทีนที่ช่วยป้องกันมะเร็ง เหล็กที่ช่วย ในการสร้างเม็ดเลือดแดง ดอกกุยช่ายอาจด้อยค่ากว่าใบ แต่มีของดีที่กากใยอาหาร ช่วยให้ของเสียที่ต้องระบายออกจากร่างกายถูกเคลื่อนย้าย ได้สะดวก ลดโอกาสเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้กลิ่นโชยมาเมื่อไร อย่าปล่อยให้กุยช่ายหลุดมือ
13. คะน้าคะน้ามีวิตามินซีสูงมาก ใครที่เป็นหวัด ผิวไม่สวย วิตามินซีช่วยได้ ช่วยให้เนื้อเยื่อของเราทำงานได้เต็มกำลัง ทีเด็ดพิเศษคือ คะน้ามีแคลเซียมสูง แคลเซียมของคะน้านั้นดูดซึมได้ดีกว่าแคลเซียมจากผักอื่นๆ
14. แครอทสีส้มสดใสสว่างของแครอทช่วยดับความกลัวโรคมะเร็งได้ ในแครอทมีเบต้า-แคโรทีนที่กำจัดสารก่อมะเร็งที่อาจมากับควันบุหรี่ หรือแสงแดด แผดจัด สารนี้ป้องกันมะเร็งได้ โดยเฉพาะมะเร็งในปอด ใครกินผักสด และผลไม้มากสม่ำเสมอ มีสารนี้ในเลือดมาก และใครมีมากก็ไม่ต้อง เสี่ยงกับมะเร็งปอด ลบความกลัวด้วยการกินแครอท ผักสด และผลไม้อื่นๆ
15. ต้นหอมต้นหอมมีคุณค่าทางอาหารเหมือนผักหลายๆชนิดที่ให้แคลเซียมและฟอสฟอรัสในส่วนที่เหมาะสมกับการดูดซึมของร่างกาย มีเบต้า-แคโรทีน และยังมีสารพวกฟลาโวนอยด์ โดยเฉพาะเควอซิทีนที่เป็นเกราะกันมะเร็งให้กับคนเราได้ เหมือนกับที่พบในไวน์แดงราคาแพงนั่นเอง ลองเลือก กินต้นหอมราคาถูก เพื่อรับฟลาโวนอยด์และสารอาหารมากกว่า 10 ชนิด พร้อมด้วยกากใยอาหารกันบ้างเป็นไร
16. กะหล่ำปลีกะหล่ำปลีมีวิตามินซีสูง กะหล่ำปลีสด กะหล่ำปลีคั้นเป็นตัวช่วยรักษาโรคกระเพาะ โดยดื่มน้ำคั้นวันละ 2 แก้ว นอกจากวิตามินซี กะหล่ำปลีมีสารต้านมะเร็งหลายตัว ... ในวันที่โรคมะเร็งเป็นโรคร้ายอันดับต้นๆของคนไทยเรา กะหล่ำปลีเป็นอีกหนึ่งผักที่ช่วยให้เราปลอดภัยจากโรคร้าย มากกว่าคนที่ไม่กินผัก
17. ดอกกะหล่ำกินดอกกะหล่ำ ผักดี ได้สเปิร์มดี ดอกกะหล่ำเป็นผักที่มีวิตามินซีมาก ใครกินดอกกะหล่ำสดหรือทำให้สุกอย่างรวดเร็วได้วิตามินซีสูง ล่าสุด ดร.แฮริส แห่งมหาวิทยาลัยเท็กซัส พบว่า วิตามินซีเพิ่มปริมาณและช่วยให้สุขภาพของสเปิร์มดีขึ้น ดอกกะหล่ำดีขนาดนี้ กินดี นอกจากสุขกาย แล้วยังสุขใจ ( กินดอกกะหล่ำ เพราะฉะนั้น เหงือกดี + ไม่เป็นหวัด + ไม่เป็นมะเร็ง + สเปิร์มแข็งแรง = ดี )ข้อควรระวังทานกะหล่ำปลีดิบมีพิษนะจะบอกให้ในกะหล่ำปลีดิบจะมีสารพิษที่เรียกว่า กอยโตรเจน (Goibrogen) ซึ่งเป็นสารที่จะไปกันไม่ให้ต่อมไทรอยด์จับไอโอดีนไปสร้างเป็นฮอร์โมนไทร๊อกซิน (Thyroscine) ได้ซึ่งผลที่เกิดขึ้นคือจะทำให้เกิดเป็นโรคคอหอยพอก แต่สารพิษเหล่านี้จะถูกทำลายได้ โดยการต้ม จึงควรับประทานกะหล่ำปลีสุกจะดีกว่ากะหล่ำปลีดิบ
18. กระเทียม หอมหลายท่านคงทราบข่าวกันแล้วว่า กระเทียมช่วยลดโคเลสเตอรอล ป้องกันมะเร็ง เพิ่มภูมิคุ้มกันโรค ฯลฯตั้งแต่ปี ค.ศ.1983 ที่ห้องสมุดทางการแพทย์แห่งชาติมหาวิทยาลัยแมรี่แลนด์ สามารถรวบรวมงานวิจัย เกี่ยวกับกระเทียมได้แล้วไม่น้อยกว่า 125 ชิ้น ในปี ค.ศ. 1944 Chester J. Cavallito สามารถแยกสาร Allicin ซึ่งมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อได้สำเร็จ สารอัลลิซินเป็นสารประกอบพวกกำมะถันสามารถสลายตัวให้ diallyldisulfide และสารประกอบของกำมะถันอื่นๆ ซึ่งมีกลิ่นฉุนเฉพาะตัว การใช้กระเทียมทางยาจึงต้องใช้กระเทียมสดที่ยังมีกลิ่นฉุนอยู่ดังนั้น หากท่านรับประทานกระเทียมสดได้ ก็ไม่ควรซื้อผลิตภัณฑ์อื่นๆมาใช้ให้สิ้นเปลืองเงินเสียเปล่าๆท่านที่เป็นนักบริโภคขาหมู เคยสังเกตไหมว่าผู้ขายบางรายจะมีกระเทียมสดเป็นเครื่องเคียงให้ด้วยราวกับรู้ว่ามื้อนี้ ท่านบริโภคโคเลสเตอรอลสูง จึงต้องแก้ด้วยกระเทียมสดกระเทียมช่วยได้หรือเป็นเช่นนั้นจริงๆ นักวิทยาศาสตร์พบว่า การรับประทานกระเทียมสดขนาด 1 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม จะช่วยลดปริมาณโคเลสเตอรอลในกระแสเลือด และป้องกันโรคหัวใจได้ในปี ค.ศ. 1987 Dr. Benjamin Lau และคณะ ทำการทดลอง ณ มหาวิทยาลัย Loma Linda แคลิฟอเนีย พบว่า กระเทียมหนึ่งหัว (ประมาณเก้ากลีบ) ต่อวัน ช่วยลดโคเลสเตอรอลตัวร้าย และไขมันในเลือดได้ใน 70 เปอร์เซ็นต์ของอาสาสมัคร เขายังพบว่า ในช่วงเดือนแรกของการรักษาด้วยกระเทียม ปริมาณโคเลสเตอรอลในกระแสเลือดจะสูงขึ้น เล็กน้อย ก่อนที่จะทยอยลดลงในสี่เดือนถัดมานอกจากนี้ยังมีการวิจัยพบประโยชน์ของกระเทียมอีกมากมาย เช่น การทดลองในอินเดียช่วยเพิ่มความรู้ ในการใช้กระเทียมอย่างถูกวิธี Dr. M. Sucur รายงานว่า จากการใช้กระเทียมกับผู้ป่วยสองร้อยคน พบว่า หลังจากที่โคเลสเตอรอลลดถึงระดับน่าพอใจแล้ว กระเทียมสดเพียงวันละสองกลีบก็เพียงพอที่จะป้องกันการเพิ่มของโคเลสเตอรอลได้เช่นเดียวกับหัวหอม เพื่อนสนิทของกระเทียมหัวหอมมีสารสำคัญ ไซโคลอัลลิอิน (Cycloallliin) ซึ่งมี คุณสมบัติคล้ายกระเทียมนายแพทย์วิกเตอร์ เกอร์วิช ผู้อำนวยการสถาบันการวิจัยระบบเลือดแห่งบอสตัน ได้ทดลองให้ผู้ป่วยที่มีระดับ โคเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) ต่ำถึงจุดวิกฤติจำนวน 20 คน รับประทานหอมหัวใหญ่ดิบทุกวัน วันละประมาณครึ่งหัวเป็นเวลาติดต่อกันสองเดือน พบว่าร้อยละเจ็ดสิบห้าของผู้ป่วยมีปริมาณ HDL เพิ่มขึ้นร้อยละยี่สิบถึงร้อยละสามสิบในเวลาสองเดือน และยังพบว่าระดับโคเลสเตอรอลโดยรวม (Total Cholesterol) ในกระแสเลือดลดลงน่าพอใจเขายังพบว่า หอมหัวใหญ่เพียงครึ่งหัวต่อวัน ก็เพียงพอที่จะให้ผลในการลดโคเลสเตอรอลตัวร้าย (LDL) และเพิ่มโคเลสเตอรอลที่ดี (HDL) และหอมสดเท่านั้นที่จะทำหน้าที่นี้ได้ดีที่สุดที่มา: เภสัชโภชนา 2 โดย ภก.สรจักร ศิริบริรักษ์
19. วิธีผายปอดด้วยการไอเจ้าหน้าที่ 2 คนจาก The Johnson City Medical Center ได้ค้นพบวิธีและได้ทำการศึกษาจากห้อง ICU และได้ทำการเขียนบทความขึ้น บทความนี้ได้ถูกตีพิมพ์และได้รับการบรรจุเข้าในวิชา ACLS และ CPR (Cardiopulmonary Resuscitation วิชาการผายปอด)วิธีการนี้ได้ถูกเรียกว่า "Cough CPR" (ผายปอดด้วยการไอ) วิธีการนี้สามารถช่วยเหลืออาการหัวใจล้มเหลวได้จริง และหากทุกคนที่ได้รับ email นี้ ส่งต่อให้คนอื่นๆด้วย พนันได้เลยว่าพวกเราอาจช่วยชีวิตคนได้อีก อย่างน้อยก็คงจะ 1 ชีวิตด้วยวิธีการนี้ลองอ่านดูตรงนี้... มันอาจช่วยชีวิตคุณได้!สมมติว่ามันเป็นเวลาหกโมงเย็น และคุณกำลังขับรถกลับบ้านคนเดียวหลังจากเลิกงานแล้ว คุณรู้สึกเหนื่อยล้า หดหู่ และเครียด ทันใดนั้นเอง คุณก็รู้สึกเจ็บหน้าอก อาการเจ็บเริ่มแพร่กระจายไปตามแขน และลามมาถึงขากรรไกร ถึงโรงพยาบาลที่ใกล้บ้านคุณที่สุดก็อยู่ห่างออกไปเพียง 5 ไมล์ แต่คุณก็ไม่รู้ว่าคุณจะไปถึงรึเปล่า? คุณจะทำอย่างไร? ถึงคุณอาจเคยเรียนวิธีผายปอดมาแล้ว แต่สิ่งที่คุณเรียนมานั้น ไม่ได้สอนว่าจะช่วยผายปอดตัวเองอย่างไร? จะทำอย่างไรดีหากคุณอยู่คนเดียว แล้วเกิดอาการหัวใจล้มเหลวกระทันหัน? อย่างไรก็ดี คุณยังคงสามารถช่วยเหลือตัวเองได้โดยการไอแรงๆ ซ้ำๆ อย่างต่อเนื่อง! ก่อนการไอแรงๆ ทุกครั้งควรสูดลมหายใจให้ลึกๆ การไอแต่ละครั้งควรไอให้ยาวๆ เหมือนกับตอนที่พยายามขากเสลดจากปอด การหายใจลึกๆ และไอแรงๆ ต้องกระทำต่อเนื่องทุกๆ 2 วินาที (ย้ำ ทุกๆ 2 วินาที) อย่างไม่หยุดจนกว่าจะได้รับการช่วยเหลือ หรือจนกระทั่งรู้สึกว่าหัวใจเต้นเป็นปกติแล้ว การหายใจลึกๆ จะทำให้ปอดได้รับออกซิเจน ส่วนการไอแรงๆ นั้นจะทำให้แรงกระเทือนไปช่วยบีบหัวใจและทำให้เลือดหมุนเวียนได้ และแรงกระเทือนและแรงบีบหัวใจจากการไอนี้ จะช่วยทำให้หัวใจกลับสู่การเต้นปกติได้ การทำแบบนี้จะช่วยให้ผู้ที่ประสพอาการหัวใจล้มเหลวกระทันหันพาตัวเองไปถึงโรงพยาบาลได้กรุณาส่งข้อความนี้ให้กับคนอื่นๆ ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อว่ามันอาจมีโอกาสได้ช่วยชีวิตของพวกเขาไว้
20. ข้าวโพดฝักอ่อนข้าวโพดอ่อนมีกากใยอาหารที่ช่วยให้ระบบทางเดินอาหารสะอาดพ้นสารพิษต่างๆ ทำให้ปลอดภัยจากพิษเคมีต่างๆที่ปนมาในอากาศ อาหาร และ ช่วยให้การส่งออกของเสียเป็นไปอย่างสะดวกสบาย
21. คึ่นช่ายคึ่นช่ายเหมาะสำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องไต เพราะมีโซเดียมน้อยกินเท่าไรก็ปลอดภัยต่อไต คึ่นช่ายมีสารพิเศษที่ทำให้หลอดเลือดขยายตัว ช่วยลดความดันได้ กินสดๆร่างกายได้รับวิตามินซี ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันโรค เบต้า-แคโรทีนแท้สดจากคึ่นช่ายผัด ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง และโรคหัวใจขาดเลือด รวมทั้งเพิ่มภูมิคุ้มกันโรค น้ำมันที่ใช้ปรุงอาหารช่วยให้เบต้า-แคโรทีนทำงานได้ดีขึ้น
22. แตงกวาแตงกวาเก่งเพราะน้ำ แตงกวาช่วยขับปัสสาวะ แก้ไข้ ให้ความสดชื่น ช่วยให้ผิวสวยเพราะชุ่มชื่น แตงกวามีพลังของน้ำอยู่เต็มผล หลายคน เป็นห่วงว่าเรากินแตงกวาเป็นผลหลัก กินกันหนักเกินไป เพราะแตงกวาไม่มีธาตุอาหารอะไรมากนัก ควรฟัง เพราะจริงๆก็เป็นเช่นนั้น แตงกวา มีน้ำมาก และสารอาหารน้อย เหมาะกินเพื่อความสดชื่นให้ร่างกาย หาผักสีเขียวเข้มกินควบกับแตงกวาด้วยจะดีมาก
23. คนอกหักเชิญทางนี้...(บัวบก)ในสมัยโบราณมีคำกล่าวไว้ว่า ถ้าช้ำในให้แก้ด้วยน้ำบัวบก ซึ่งปัจจุบันก็ยังมีการใช้น้ำบัวบกแก้ช้ำใน และมีคนทำน้ำบัวบกขายเพื่อเป็นเครื่องดื่มนอกจากนำบัวบกมาทำเป็นเครื่องดื่มแล้ว ยังมีการนำบัวบกมาเป็นเครื่องเคียงของก๋วยเตี๋ยวผัดไทย หมี่กรอบ และแกงเผ็ดทั้งหลาย และจากการที่เราบริโภคบัวบกเป็นผักสด เราจะได้เบต้าแคโรทีนซึ่งมีอยู่ในบัวบกสูง ทำให้สามารถป้องกันโรคหัวใจขาดเลือดและโรคมะเร็ง และจากการที่บัวบกมีวิตามินบี 1 ซึ่งเป็นวิตามินแห่งระบบสมอง ทำให้บัวบกมีสรรพคุณช่วยบำรุงสมองและทำให้ความจำดี ซึ่งถ้าท่านผู้อ่านที่มีอาการหลงลืม จะใช้บัวบกช่วยก็ได้บัวบกสามารถปลูกเป็นไม้ประดับบริเวณรอบๆบ้านได้ แต่ในขณะเดียวกันก็มีคุณค่าสามารถนำมาทำเป็นยาสมุนไพรได้ โดยส่วนที่นำมาทำเป็นยาคือต้นและใบที่สมบูรณ์เต็มที่ โดยตามตำราแพทย์แผนไทยระบุว่า บัวบกมีสรรพคุณซ่อมแซมสิ่งที่สึกหรอและเป็นยาบำรุงได้ แต่ในปัจจุบันนี้มีการศึกษาวิจัยพบว่า บัวบกมีสารสำคัญที่มีฤทธิ์ในการสมานแผล ทำให้แผลหายเร็ว โดยมีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์พบว่า สารสำคัญที่ได้จากบัวบกคือ madecassic acid, asiatic acid, asiaticoside, madecassoside ซึ่งสารสำคัญเหล่านี้มีฤทธิ์ในการสมานแผลทำให้แผลหายเร็ว นอกจากนั้นยังมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุให้เกิดหนอง มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อรา และมีฤทธิ์ลดการอักเสบได้ นอกจากนี้บัวบกยังมีส่วนประกอบพวกน้ำมันหอมระเหย (Essential oil) ที่มีกลิ่นแรง และมีสารที่มีรสขมชื่อ Vellarine และ Pectic acid และยังมี Ascorbic (Vitamin c) ในปริมาณ 13.8 มก./100 กรัมในส่วนของประเทศไทยได้มีการศึกษาวิจัยหลายแห่ง เช่น คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล วิจัยในด้านเภสัชวิทยา ส่วนการศึกษาวิจัยด้านคลินิกทำที่คณะแพทย์ศาสตร์รามาธิบดี และคณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล โดยพบว่า การใช้ครีมบัวบก 1 เปอร์เซ็นต์ในผู้ป่วยที่เป็นแผลเรื้อรังจากแผล กดทับแผลที่เกิดจากอุบัติเหตุ และแผลติดเชื้อ โดยใช้วันละ 1 ครั้ง พบว่าทำให้แผลหายเร็วขึ้น และทำให้การอักเสบลดลงดังนั้นถ้าผู้อ่านเกิดอุบัติเหตุและมีแผลสด หรือบาดแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก หรือมีบาดแผลที่ติดเชื้อ ก็สามารถช่วยเหลือตัวเองเบื้องต้นได้ โดยการนำบัวบกทั้งต้นและใบสด 1 กำมือ นำมาล้างให้สะอาดและนำไปตำให้ละเอียด กรองเอาแต่น้ำไปทาชโลมบริเวณที่เป็นบาดแผลให้ชุ่มอยู่เสมอในชั่วโมงแรกๆ ต่อจากนั้นทาวันละ 3-4 ครั้งจนกว่าจะหาย แต่ถ้าท่านผู้อ่านจะใช้กากพอกที่แผลด้วยก็ได้ ถ้าทำอย่างนี้แล้วบาดแผลยังไม่ดีขึ้น ขอแนะนำให้ปรึกษาแพทย์ที่อยู่ใกล้บ้าน ห้ามปล่อยทิ้งไว้นานเพราะจะเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ ส่วนการรับประทานน้ำบัวบกเพื่อใช้เป็นยาบำรุงหรือซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ก็ทำโดยวิธีเดียวกันกับที่กล่าวมาแล้วโดยข้างต้น แต่มีข้อพึงระวังไว้ว่า ไม่ควรรับประทานบัวบกนานๆ เพราะมีรายงานว่าบัวบกมีฤทธิ์ลดความดันโลหิตได้ที่มา : หนังสือชีวจิต ฉบับที่ 33 คอลัมน์สมุนไพรน่ารู้ โดย พ.ญ.ดวงรัตน์ วชาญวิทย์
24. dangerous! ถั่วงอกดิบมีโทษในผักสดบางชนิดมีสารพิษที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เช่นในถั่วงอกมีสารพิษพวกที่เรียกว่าไฟเตต ซึ่งเมื่อกินเข้าไปจะไปจับแร่ธาตุบางชนิดที่อยู่ในอาหาร ทำให้ร่างกายไม่สามารถดูดซึมแร่ธาตุเหล่านั้นเข้าร่างกาย ร่างกายจะเป็นโรคขาดแร่ธาตุ สารพิษเหล่านี้สามารถทำลายได้โดยการต้ม จึงควรรับประทานถั่วงอกสุขดีกว่าถั่วงอกดิบโทษของน้ำต้มเดือดหลายๆครั้งน้ำประปามีแร่ธาตุหลายชนิด เมื่อต้มเดือดแล้วเดือดอีกหลายๆครั้ง น้ำจำนวนมากจะระเหยกลายเป็นไอ ส่วนที่เหลือจึงมีปริมาณแร่ธาตุ ชนิดต่างๆเข้มข้นขึ้นมากและเกินมาตรฐานการบริโภคน้ำที่ต้มเดือดนานๆ ไอออนของซิลเวอร์ไนเตรทที่อยู่ในน้ำ จะเปลี่ยนเป็นซิลเวอร์ไนไตรท์ ซึ่งเป็นสารที่ให้โทษแก่ร่างกายและแร่ธาตุบางอย่างที่เป็นโทษต่อร่างกาย จะมีปริมาณเพิ่มมากขึ้นเพราะการระเหยของน้ำและอาจมากจนเกินขีดจำกัดความสามารถของร่างกายในการกำจัดขับถ่ายออกมา จึงไม่ควรดื่มน้ำที่ต้มเดือดแล้วหลายๆครั้ง
25. มะขามแขก...ยาระบายไทยมะขามแขกมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Senna alexan drina Mill. อยู่ในวงศ์ LEGUMMINOSAE มะขามแขกจัดเป็นไม้พุ่มขนาดเล็กสูงประมาณ 1-1.5 เมตร ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก ใบจะใหญ่และยาวกว่าใบมะขามเล็กน้อย โดยปลายใบจะแหลมกว่าใบมะขามขนาดกว้าง 0.7-1 เซนติเมตร ยาว 2.5-3 เซนติเมตร ดอกออกเป็นช่อสีเหลืองบานจากล่างไปบน ผลเป็นฝักแบบบานโค้งเล็กน้อยคล้ายถั่วลันเตา ฝักอ่อนจะมีสีเขียวเมื่อแก่จะมีสีน้ำตาล ภายในฝักจะมีเมล็ดรูปร่างแบนประมาณ 6-12 เม็ดส่วนที่นำมาทำเป็นยา คือ ใบและฝักแห้ง ที่สมบูรณ์เต็มที่ โดยใบจะเก็บในช่วงที่มีอายุหนึ่งเดือนครึ่งหรือก่อนออกดอก ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์พบว่า ใบและฝักมะขามแขกมีสารสำคัญ คือ แอนทราควิโนน (Anthraquinone) ซึ่งประกอบสาร Sennoside A, B, C, D และยังพบสาร emodin, rhein อีกด้วย โดยสารพวกนี้จะไปออกฤทธิ์กระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ใหญ่ ทำให้ขับถ่ายอุจจาระออกมาได้ ยาระบายมะขามแขกเหมาะสำหรับผู้สูงอายุ คนที่มีอาการท้องผูกเป็นประจำหรือผู้ป่วยที่ต้องนอนนานๆ ไม่ได้ออกกำลังกาย แต่อาจทำให้เกิดอาการปวดมวนท้องได้ ดังนั้น จึงควรรับประทานควบคู่กับยาขับลม เช่น กานพลู กระวาน หรืออบเชย โดยใช้ยาขับลมปริมาณเพียงเล็กน้อยยาระบายมะขามแขกไม่ควรใช้ในหญิงตั้งครรภ์หรือหญิงที่ให้นมลูก เพราะสารแอนทราควิโนนจะออกมาทางน้ำนมด้วยและไม่ควรใช้ในคนที่เป็นโรคลำไส้ใหญ่ส่วนล่างอักเสบ หรือโรคทางเดินอาหารอุดตัน และห้ามใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี ส่วนการวิจัยทางด้านพิษเฉียบพลัน ซึ่งทำโดยกองวิจัยทางการแพทย์ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุขพบว่า ไม่มีพิษวิธีการเตรียมยา ใช้ใบแห้ง 1-2 กำมือ (หนัก 3-10 กรัม) ต้มกับน้ำดื่ม หรือใช้วิธีบดเป็นผงชงกับน้ำดื่ม ถ้าจะใช้ฝักก็ใช้ฝักแห้ง 4-5 ฝัก ต้มกับน้ำดื่ม (ซึ่งทำให้เกิดอาการปวดมวนท้องน้อยกว่าใบ) หลังรับประทานยาไปแล้วควรจะระบายประมาณ 6-12 ชั่วโมงที่มา : หนังสือชีวจิต ฉบับที่ 44 คอลัมน์สมุนไพรน่ารู้ โดย พ.ญ.ดวงรัตน์ วชาญวิทย์
26. ไตวายเรื้อรังถ้าคุณ ดื่มเหล้าหนักถ้าคุณนอนไม่พอถ้าคุณกินเนื้อสัตว์มื้อหนึ่ง มากๆถ้าคุณชอบดื่มน้ำอัดลมมากถ้าคุณเคยปวดหลังถ้าคุณไม่เคยออกกำลังกายถ้าคุณชอบกั้นฉี่ถ้าคุณดื่มน้ำในวันหนึ่งน้อยถ้าคุณไม่ดูแลรักษาตัวถ้าคุณตัวบวม คือบวมน้ำไม่ไช่อ้วนนะถ้าคุณเป็นโรคเบาหวานสาเหตุเหล่านี้จะทำให้คุณได้พบกับภัยเงียบ ไตวายเรื้อรังไต เป็นอวัยวะมีขนาดเท่ากับ กำปั้นของเจ้าของทำหน้าที่เหมือนโรงกลองน้ำ คือกรองสิ่งสกปรก สิ่งผิดปรกติออกจากเลือดส่วนสิ่งสกปรกนั้นก็จะถูกเปลี่ยนเป็นฉี่ ถ้าคุณเคยสังเกตุ เวลากินอาหารเช่น สตอแล้วเวลาฉี่จะมีกลิ่นสตอออกมานั่นคือ ไตได้กรองเอาสารบางอย่างออกมาจากสตอแล้วเมื่อไตวายเรื้อรัง คือไตไม่สามารถใช้เป็นปรกติ ซึ่งจะทำให้การกรองของเสียของเลือดได้ไม่ดีซึ่งจะทำให้เลื่อดมีค่าของเสียมาก ซึ่งปรกติคนทั่วจะมีค่าของเสียอยู่ 1-2 เวลาเจาะเลือดจะดูได้ซึ่งไตเสีย ค่าของเสียจะมีค่ามากกว่า 2 อาจจะเป็น 5 9 13 15 ซึ่งถ้าเกิน 9 อาจจะทำให้ช็อค และเสียชีวิตได้วิธีการตรวจ ได้วิธีเดียวคือการเจาะเลือดและตรวจปัสสาวะวิธีการรักษา โดยขั้นแรก หมอจะให้ควบคุมอาหารและน้ำดื่ม ถ้าอาการคงที่ ก็รักษาในขั้นนี้ แต่ถ้าอาการหนักขึ้น ขั้นสองคือการฟอกเลือด หรือการล้างไต การฟอกเลือด คุณจะต้องไปที่โรงพยาบาลที่บริการล้างไต เครื่องล้างไต มีขนาดเท่าตู้เย็น และมีกระบอก filter คล้ายที่กรองน้ำแต่ ใช้กรองเลือดก่อนจะมาถึงขั้นตอนนี้ ต้องได้รับการผ่าตัดเล็กเพื่อการฟอกไตก่อน เสียค่าใช้จ่ายอีกประมาณ 20000-40000 บาท หมอจะใช้เข็มขนาด 2 มิล แทงเข้าไปในเส้นเลือด 2 อัน อันแรกต่อไปที่เครื่อง ส่วนอีกอันต่อกลับเข้ามาที่ตัว คือมีเข้าหนี่งเส้นออกหนึ่งเส้น ใช้เวลาการทำ ครั้งละ 4-5 ชม.คือคุณจะต้องไปนอนที่โรงพยาบาล 4-5 ชม. ค่าใช้จ่ายครั้งละ 2000-4000 แล้วแต่โรงพยาบาล 1 อาทีตย์ล้าง 2 ครั้ง ทำไปเรื่อยจนกว่าคุณจะได้ไตใหม่แล้วมีการผ่าตัดใส่เข้าในตัวคนไข้ถึงจะหายขาด การปลูกถ่ายไตใหม่ ต้องหาไตที่สมบูรณ์ และมีการ Matching ที่ดีระหว่างผู้ป่วย กับไตใหม่ที่ได้รับบริจาค ผู้ป่วยอาจต้องรับบริจาคไต จากคนในครอบครัว หรือญาติพี่น้อง หรือรอรับบริจาคทั่วไป ซึ่งใช้เวลาหลายปีโดยทั่วไป ไตที่จะปลูกถ่ายใหม่ มีโอกาสที่จะเกิดการต่อต้านโดยร่างกายผู้ป่วย ซึ่งถ้าการปลูกถ่าย ไม่ประสบความสำเร็จ ก็ต้องผ่าตัด เพื่อเอาออก และกลับไปใช้วิธีการฟอกไต ค่าผ่าตัดปลูกถ่ายไต ต้องเสียค่าใช้จ่ายประมาณ 350,000- 500,000 บาท หากการผ่าตัดประสบความเร็จด้วยดี หลังจากได้รับการปลูกถ่ายไตใหม่เรียบร้อย คุณจะต้องรับภาระค่ายาอีก 10000-20000 ต่อเดือน จะเห็นได้ว่า ทรมาร ทั้งกาย และเงิน ดังนั้นจึงควรนั่งลงให้สบายแล้วนั่งคิด ถึงร่างกายตัวเอง เราเท่านั้นที่จะทราบได้ว่า มีอะไรเกิดขึ้นกับตัวเรา จงรักษาตัวของเราไว้ให้ได้ดีที่สุด คุณจะได้มีโอกาสทำในสิ่งที่อยากทำได้นาน

วันเสาร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เที่ยวชมวัฒนธรรมมอญ ที่เกาะเกร็ด


การล่องเรือชมวิถีชีวิตชุมชนมอญเกาะเกร็ด เริ่มต้นที่ท่าน้ำวัดปรมัยยิกาวาส สัญลักษณ์ของวัดคือ พระเจดีย์มุเตา เป็นเจดีย์ทรงรามัญ ก่อนลงเรืออาจแวะชมภาพจิตรกรรมแบบตะวันตกและงานฝีมือแบบมอญ ในพิพิธภัณฑ์ของวัด เรือจะพาล่องต่อไปตามแม่น้ำอ้อมเกร็ด ซึ่งเป็นแม่น้ำเจ้าพระยาสายเดิม ด้านตะวันตกของเกาะเป็นเขตสวนผลไม้ และแปลงปลูกผักปลอดสารพิษ ไม่ควรพลาดแวะ คลองขนมหวาน หรือคลองบางบัวทอง ชมการทำขนมไทย ชิมและเลือกซื้อหาเป็นของฝาก ช่วงแม่น้ำลัดเกร็ด จะได้เห็น “บ้านมอญขวาง” ซึ่งปลูกขวางแนวแม่น้ำ เรียงรายกันอยู่ค่อนข้างหนาแน่น เมื่อขึ้นเรือที่ท่าน้ำวัดปรมัยยิกาวาส อาจเดินไปชมพิพิธภัณฑ์เครื่องปั้นดินเผามอญโบราณ บ้านกวานอาม่าน (หมู่บ้านช่างปั้น) หรือเดินต่อไป ชมโรงปั้น และเลือกซื้อหาของฝากจากแหล่งผลิต มื้อเที่ยงอย่าลืมแวะลิ้มลองอาหารมอญ โดยเฉพาะที่ทำจากหน่อกะลา เช่น ทอดมัน แกงส้ม ก๋วยเตี๋ยวหมู หากไปเที่ยวเกาะเกร็ดช่วงสงกรานต์ ก็จะได้ชิม ข้าวแช่ กะละแม และคะนอมจิน อาหารมอญโบราณวัดปรมัยยิกาวาสศิลปกรรมสำคัญในวัด ได้แก่ พระมหารามัญเจดีย์ เป็นเจดีย์ทรงรามัญ ที่ลานหลังพระอุโบสถ รัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างจำลองแบบจากพระเจดีย์มุเตา เมืองหงสาวดี พระอุโบสถ ตกแต่งด้วยวัสดุจากอิตาลี ตามศิลปะพระราชนิยมในรัชกาลนี้ ภายในยังมีภาพจิตรกรรมฝาผนัง เขียนแบบสามมิติ (perspective) แบบตะวันตก พิพิธภัณฑ์วัดปรมัยยิกาวาส จัดแสดงศิลปกรรมมอญที่หาชมได้ยาก ได้แก่ งานแกะดุนโลหะ ยอดฉัตรพระมหารามัญเจดีย์ และงานเครื่องกระดาษ เช่น เหมหรือโลงศพ สำหรับงานศพพระเถระ เชิงบันไดทางขึ้นพิพิธภัณฑ์ มีโอ่งดินเผา เป็นฝีมือช่างเกาะเกร็ด ปั้นเมื่อปี พ.ศ. 2468 พิพิธภัณฑ์ฯ เปิดเฉพาะเสาร์ – อาทิตย์ เส้นทางแนะนำล่องเรือชมวัด ชุมชนมอญเกาะเกร็ด (ใช้เวลาครึ่งวัน)นั่งเรือชมรอบเกาะ เพื่อสัมผัสความงดงามของบ้านเรือน และวัดสำคัญของชุมชนชาวมอญ รวมทั้งความร่มรื่นเขียวขจีของเรือกสวน แวะเข้าไปชมการทำขนมไทยที่คลองขนมหวาน จากนั้น ชมเส้นทางเครื่องปั้นดินเผาอันเลื่องชื่อของเกาะเกร็ด แล้วอิ่มอร่อยกับอาหารพื้นบ้านแบบมอญก่อนเดินทางกลับนั่งเรือรอบเกาะเกร็ดมีเรือข้ามฟากที่วัดสนามเหนือ ข้ามมาที่ท่าน้ำวัดปรมัยยิกาวาส หากจะนั่งเรือรอบเกาะ มีเรือหางยาว นั่งได้ประมาณ 8 คน เหมาลำลำละ 500 บาท แต่แวะคลองขนมหวาน ราคา 700 บาท เรือเล็กเช่าจากปากเกร็ด เข้าคลองขนมหวาน ราคา 150 – 200 บาท ล่องคลองบางใหญ่จากท่าน้ำนนทบุรี มีเรือท้องแบนวิ่งเส้นทางนนทบุรี - คลองอ้อม - คลองใหญ่ ตั้งแต่ 4.00 - 20.00 น. ค่าโดยสาร 6 บาท ใช้เวลา 15-20 นาที

วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

นาธาน โอมาน


ลูกครึ่งไทย-เนปาล เป็นบุตรคนกลาง ในจำนวนพี่น้อง 3 คน ของนายฮัมเซะห์ และนางอุทัยวรรค์ โอมาน มีพี่ชาย 1 คน และน้องสาว 1 คน
ชื่อ - สกุล : นาธาน โอมาน
ชื่อเล่น : ซาบิต
ชื่อในวงการ : นาธาน
วันเกิด : 14 พฤษภาคม 2519
สถานะ : โสด
ถิ่นกำเนิด : เนปาล
การศึกษา : ปริญญาตรี สถาบันราชภัฏสวนสุนันทา คณะนิเทศศาสตร์ เอกโฆษณา
งานอดิเรก : ท่องเที่ยว, อ่านหนังสือ, แต่งบ้าน, ทำงานศิลปะ
สิ่งที่ชื่นชอบ : ว่ายน้ำ, ฟิตเนส
ของสะสม : ภาพถ่าย, ซีดีเพลง
ที่อยู่ : บริษัท อาร์เอส โปรโมชั่น 419/1 อาคารเชษฐโชติศักดิ์ ลาดพร้าว 15 จตุจักร กรุงเทพฯ 10900
ผลงานเพลง : อัลบั้มชุดแรก นาธาน สังกัด อาร์เอสฯ เพลงที่รู้จัก นางฟ้ามาโปรด(2548), อัลบั้มชุดที่ 2 สิ่งที่เรียกว่าหัวใจ สังกัด อาร์เอสฯ
ผลงานเขียน : หนังสือชื่อ ผมมันเด็กหลังเขา(หิมาลัย)
ผลงานภาพยนตร์ : ร่วมแสดงภาพยนตร์ฮอลีวู้ด เรื่อง The Prince Of Red Shoe หรือ เดอะ พรินซ์ ออฟ เรด ชู หรือ เจ้าชายรองเท้าแดง ของผู้กำกับ วูล์ฟกัง ปีเตอร์เซ่น
ผลงานถ่ายแฟชั่น : Image/ Lip/ Popteen/ Omo(ญี่ปุ่น)
ผลงานโฆษณา : DTAC/ 7Eleven/ Fanta/ Nokai8310/ GSM(เวียดนาม, อินโดนีเซีย) / Clinic (อินโดนีเซีย)
นาธาน โอมาน (Nathan Oman) หรือ นายนธัญ โอมานันท์ (ชื่อเดิม ธัญญวัฒน์ หยุ่นตระกูล) เกิดวันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ.2519 ส่วนสูง 179 เซนติเมตร น้ำหนัก 66 กิโลกรัม โดย นาธาน โอมาน ยืนยันว่า ตนเองเป็นลูกครึ่งไทย (สตูล) - เนปาล เกิดและโตที่เนปาล ก่อนที่ นาธาน โอมาน จะหนีออกจากบ้านและมาอยู่ประเทศไทยเมื่อตอนอายุ 15 ปี ด้วยกระเป๋าหนึ่งใบและหัวใจกว้างๆ หนึ่งดวง โดยเริ่มเข้าเรียนต่อที่นานาชาติ ภูเก็ต ก่อนมาเข้าเรียนเพาะช่าง 2 ปี และย้ายไปศึกษาระดับปริญญาตรี ที่คณะครุศาสตร์ (เอกศิลปะ) มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ซึ่งที่เลือกเรียนคณะนี้ เพราะสมัยเด็กๆ เด็กชายนาธานชื่นชอบศิลปะมากกว่าวิชาอื่นๆ และรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ตัวเองรัก โดยหนุ่มคนนี้บอกว่าศิลปะเป็นสิ่งดีจะติดตัวเราไปทุกที่ และเขาก็รักศิลปะ พร้อมกับได้เรียนรู้ศิลปะมาตั้งแต่เด็กๆ เพราะที่เนปาลแวดล้อมไปด้วยศิลปะ โรงเรียนที่นั่นเน้นสอนวิชาทางศิลปะ โบราณคดี ภาษา มากกว่าคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ส่วนงานอดิเรก นาธาน โอมาน ชอบเล่นกีฬา ท่องเที่ยว รวมถึงสะสมภาพถ่าย ซีดีเพลง และผลงานตัวเอง แต่ถ้ามีเวลาว่างเขาจะชอบอ่านหนังสือ แต่งบ้าน ทำงานศิลปะ และถ้ามีเวลามากๆ เขาก็ไม่รอช้าที่จะแพ็คกระเป๋าเดินทางไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ทั่วโลก ที่สำคัญเขามีความสามารถพูดได้ 5 ภาษา คือ ฝรั่งเศส, เนปาล, รัสเซีย, อังกฤษ และภาษาไทย สำหรับเส้นทางในวงการมายาของ นาธาน โอมาน นั้น เริ่มด้วยการถ่ายแฟชั่นตามนิตยสาร ถ่ายโฆษณาสินค้านานาชนิด และด้วยหน้าตาที่คมเข้มจนไปสะดุดตาค่ายอาร์เอส จนชักชวนให้มาเป็นศิลปินในสังกัด มีอัลบั้มแรกสไตล์ป็อปร็อกชื่อ Nathan ตามมาด้วยอัลบั้มที่ 2 สิ่งที่เรียกว่าหัวใจ ซึ่งก็ทำให้เขากลายเป็นที่รู้จักในเวลาไม่นาน และวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ.2547 ชื่อของเขาก็ปรากฎในหน้าหนังสือพิมพ์หลายๆ ฉบับอีกครั้ง หลังจากเกิดภัยพิบัติคลื่นยักษ์สึนามิ ครอบคลุมพื้นที่ชายฝั่ง 6 จังหวัดชายฝั่งทะเลอันดามัน คือ ภูเก็ต พังงา กระบี่ ระนอง ตรัง และสตูล คร่าชีวิตนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติไปมากมาย ซึ่งในเหตุการณ์ครั้งนั้นก็มีผู้ที่รอดชีวิต และหนึ่งในนั้นก็มีชื่อของ นาธาน โอมาน รวมอยู่ด้วย ทำให้เขากลายเป็นที่รู้จักมากขึ้น หลายๆ รายการเชิญหนุ่มคนนี้ไปบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าว แต่จากนั้นชื่อของเขาก็ค่อยๆ จางหายไปจากแวดวงสื่อบันเทิง จะมีก็แต่กระแสเล็กๆ น้อยว่า เขาเปิดบริษัททำทัวร์ไปเที่ยวประเทศเนปาล และผลงานเขียนหนังสือเรื่อง ผมมันเด็กหลังเขา (หิมาลัย) และ โลกนี้ไม่เหงาแล้ว (Not A Lonely Planet) บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเขาและประเทศบ้านเกิด ฝากให้แฟนๆ อ่านให้หายคิดถึง
จนเมื่อประมาณเดือนตุลาคม พ.ศ.2551 นาธาน โอมาน ได้ออกมาประกาศว่า เขาได้เล่นหนังฮอลลีวูดเรื่อง The Prince Of Red Shoe ของบริษัทบิ๊กบลู ในเครือค่ายทเวนตี้ เซ็นจูรี ฟอกซ์ โดยมี วูลฟ์ กัง และ มูฮำหมัดซูอัต เป็นผู้กำกับ และแสดงร่วมกับดาราดังอย่าง บรูซ วิลลิส และ คริสติน่า ริชชี่ ทำให้ชื่อของเขากลับเข้ามาในสารระบบของวงการมายาอีกครั้ง แต่เมื่อเวลาผ่านไปซักระยะ ผู้คนในโลกไซเบอร์ได้ทำการสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับหนังเรื่อง The Prince Of Red Shoe แต่หนังเรื่องดังกล่าวกลับไม่พบหลักฐานใดๆ ที่บ่งบอกว่า นาธาน ไปเล่นหนังฮอลลีวูดจริงๆ จึงกลายเป็นหัวข้อถกเถียงในกระทู้เป็นวงกว้าง พร้อมๆ กับเม้าท์กัยสนุกปากว่า เขาเป็นคนลวงโลก พูดจาโกหก สร้างเรื่องขึ้นเพื่อต้องการโปรโมทตัวเอง รวมไปถึงขุดคุ้ย ประวัตินาธาน โอมาน โดยระบุว่า นาธานไม่ได้เป็นลูกครึ่งเนปาลอย่างที่กล่าวอ้าง ผนวกกับที่ดีเจสาว “เจเจ” ออกมาแฉว่าโดน นาธาน โอมาน ยักยอกเงินของร้านที่เขามีหุ้นลมรวมอยู่ด้วย ทำให้ชื่อเขากลายเป็นที่สนใจขึ้นมาอีกครั้ง แต่งานนี้ นาธาน โอมาน ก็ออกมาโต้ทันควันว่า ไม่เป็นความจริง พร้อมกับจะแจ้งความกลับอย่างแน่นอน ส่วนเรื่องที่มีคนกล่าวหาว่าเขาสร้างประวัติตัวเองมาหลอกคนอื่นนั้นก็ไม่เป็นความจริง เพราะนักร้องหนุ่มยืนยันหนักแน่นว่า เป็นลูกครึ่งไทย-เนปาล พร้อมกับระบุว่า เขามีพาสปอร์ตใช้ชื่อ นธัญ โอมานันท์ ภาษาอังกฤษใช้ NATHAN OMAN และมี 2 พาสปอร์ต คือ พาสปอร์ตไทย กับโอมาน แต่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นพาสปอร์ตไทยแล้ว เพราะว่าอยู่เมืองไทยนาน ถือสัญชาติไทย และคุณแม่เป็นคนสตูล พ่อเป็นแขกขาว เป็นคนเนปาล ส่วนกรณีที่มีกระแสกล่าวหาว่าเขาเป็นคนลวงโลกนั้น นาธาน โอมาน เปิดใจว่า ยืนยันว่าไปถ่ายจริง แต่กระบวนการของการถ่ายหนัง ไม่จำเป็นที่จะต้องมานั่งพูดหรือมานั่งตอบโต้ว่านี่คือรูปที่ถ่ายกับ บรู๊ซ วิลลิส รูปที่ถ่ายกับ คริสติน่า ริชชี่ หนังทั้งหมดนี่คือเบื้องหลัง พูดอย่างนั้นไม่ได้ เพราะที่เหลือมันเป็นพีอาร์ของบริษัท มันเป็นสิทธิของเขา เราเป็นแค่คนๆ หนึ่ง และหนังเปิดกล้องไปเมื่อประมาณเดือนธันวาคมปีที่แล้ว ส่วนชื่อเรื่องที่เขาตั้งไว้ คือ Red Shoe แต่ว่ายังไม่แน่ใจว่าจะเป็นเรื่องนี้หรือเปล่า แต่เขาตั้งชื่อไว้เป็นตัวอย่าง ส่วนสถานที่ถ่ายทำก็หลายประเทศ ทุกเมืองแขกของยูเออี มีพวกเมืองกลางทะเลทราย แทบตะวันออกกลาง อาทิ ประเทศโอมาน
"ตอนนี้ผมบอกชื่อบริษัทไม่ได้แล้วครับ บริษัทที่ทำเป็นบริษัทเอกชน เป็นบริษัทใหญ่บริษัทหนึ่ง แต่ตอนนี้เขาห้ามผมพูดทุกอย่างแล้ว ต่อไปในอนาคตค่อยว่ากันอีกที ทุกอย่างธานไม่สามารถพูดอะไรออกไปได้แล้ว เพราะพอมันเป็นอย่างนี้มันอาจจะมีผลกับหนังที่ธานถ่าย เพราะมันกลายเป็นว่าธานออกมาให้ข้อมูลอยู่ฝ่ายเดียว กลายเป็นว่าธานเอาความลับออกมาบอก ธานมีรูปอยู่กับบรู๊ซ วิลลิส แต่ว่าภาพมันคือลิขสิทธิ์ มันเป็นภาพในหนัง ถ้าธานเอามามันก็เป็นการเผยความลับหนัง" นาธาน กล่าว นาธาน โอมาน เปิดใจต่อว่า ณ ตอนนี้เขารู้สึกเสียใจมาก เพราะอยู่ในวงการมานานแล้ว แต่ก็ไม่เคยมีเรื่องเสียๆ แบบนี้เลย ไม่เคยมีปัญหาอะไรเลยในวงการบันเทิง มีแต่ข่าวช่วยเหลือสังคมมากกว่าการเป็นนักร้องเสียอีก เหตุการณ์และข่าวที่เกิดขึ้นก็รู้สึกเสียใจ และไม่อยากเชื่อว่าจะมีคนจ้องทำลายและทำให้เสียชื่อเสียงได้ขนาดนี้ แล้วเอาอะไรมาตัดสินว่าเขาผิด เอาอะไรมาตัดสินว่าเขาแย่มาก แล้วจะมีเหตุผลอะไรที่เขาต้องมานั่งโกหกทำเรื่องแบบนี้

วันอาทิตย์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

Wolfgang Amadeus Mozart


"Mozart" redirects here. For other uses, see Mozart (disambiguation).

Mozart circa 1780, by Johann Nepomuk della Croce
Wolfgang Amadeus Mozart (German: [ˈvɔlfɡaŋ amaˈdeus ˈmoːtsart], full baptismal name Johannes Chrysostomus Wolfgangus Theophilus Mozart[1] (27 January 1756 – 5 December 1791), was a prolific and influential composer of the Classical era. He composed over 600 works, many acknowledged as pinnacles of symphonic, concertante, chamber, piano, operatic, and choral music. He is among the most enduringly popular of classical composers.
Mozart showed prodigious ability from his earliest childhood in Salzburg. Already competent on keyboard and violin, he composed from the age of five and performed before European royalty; at 17 he was engaged as a court musician in Salzburg, but grew restless and traveled in search of a better position, always composing abundantly. Visiting Vienna in 1781 he was dismissed from his Salzburg position and chose to stay in the capital, where over the rest of his life he achieved fame but little financial security. His final years in Vienna yielded many of his best-known symphonies, concertos, and operas, and the Requiem. The circumstances of his early death have been much mythologized. He was survived by his wife Constanze and two sons.
Mozart always learned voraciously from others, and developed a brilliance and maturity of style that encompassed the light and graceful along with the dark and passionate—the whole informed by a vision of humanity "redeemed through art, forgiven, and reconciled with nature and the absolute".[2] His influence on all subsequent Western art music is profound. Beethoven wrote his own early compositions in the shadow of Mozart, of whom Joseph Haydn wrote that "posterity will not see such a talent again in 100 years".[3

วันพุธที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ราเกซ สักเสนา


ราเกซ สักเสนา (อังกฤษ: Rakesh Saxena) (13 กรกฎาคม พ.ศ. 2495 - ) เป็นนักการเงินการธนาคาร ชาวอินเดีย อดีตที่ปรึกษานายเกริกเกียรติ ชาลีจันทร์ อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชยการ (บีบีซี) เจ้าของฉายา "พ่อมดการเงิน"
นายราเกซ เกิดที่เมืองอินดอร์ รัฐมัธยประเทศ จบการศึกษาระดับปริญญาโท สาขาวรรณกรรม มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์[1] เดินทางเข้ามาในประเทศไทยหลังปี พ.ศ. 2520 ทำงานเป็นผู้เชี่ยวชาญทางการเงินและการลงทุน และที่ปรึกษาของหลายบริษัท [2] ได้เป็นที่ปรึกษาของธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชยการ ตั้งแต่ พ.ศ. 2535 และถูกดำเนินคดีข้อหายักยอกทรัพย์เป็นเงิน 75 ล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อ พ.ศ. 2539 หลังการล้มละลายของธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชยการ ในปี พ.ศ. 2538 และออกหมายจับ เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2539
นายราเกซ เดินทางหลบหนีออกจากประเทศไทย ไปอาศัยอยู่ที่เมืองวิสต์เลอร์ รัฐบริติชโคลัมเบีย ประเทศแคนาดา และถูกจับกุมโดยกองตำรวจม้าหลวงแห่งแคนาดา เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2539 ทางการไทยได้ประสานงานกับเจ้าหน้าที่แคนาดา เพื่อนำตัวนายราเกซเป็นผู้ร้ายข้ามแดน กลับมาดำเนินคดีในประเทศไทย แต่นายราเกซได้ให้ทนายความยื่นคัดค้าน โดยอ้างว่าถ้าถูกส่งกลับประเทศไทยอาจถูกสังหารหรือถูกขังในคุกอย่างโหดร้ายทารุณ
ศาลฎีกาแคนาดายกคำร้องคัดค้านของนายราเกซเมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2551 เป็นผลให้ทางการแคนาดาต้องส่งตัวนายราเกซ สักเสนา ให้ทางการไทยตามกระบวนการส่งผู้ร้ายข้ามแดนในที่สุด

วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2552

วันฮาโลวีน Halloween Day


Halloween is an annual celebration, but just what is it actually a celebration of? And how did this peculiar custom originate? Is it, as some claim, a kind of demon worship? Or is it just a harmless vestige of some ancient pagan ritual?
The word itself, "Halloween," actually has its origins in the Catholic Church. It comes from a contracted corruption of All Hallows Eve. November 1, "All Hollows Day" (or "All Saints Day"), is a Catholic day of observance in honor of saints. But, in the 5th century BC, in Celtic Ireland, summer officially ended on October 31. The holiday was called Samhain (sow-en), the Celtic New year.
One story says that, on that day, the disembodied spirits of all those who had died throughout the preceding year would come back in search of living bodies to possess for the next year. It was believed to be their only hope for the afterlife. The Celts believed all laws of space and time were suspended during this time, allowing the spirit world to intermingle with the living.
Naturally, the still-living did not want to be possessed. So on the Naturally, the still-living did not want to be possessed. So on the night of October 31, villagers would extinguish the fires in their homes, to make them cold and undesirable. They would then dress up in all manner of ghoulish costumes and noisily paraded around the neighborhood, being as destructive as possible in order to frighten away spirits looking for bodies to possess.
Probably a better explanation of why the Celts extinguished their fires was not to discourage spirit possession, but so that all the Celtic tribes could relight their fires from a common source, the Druidic fire that was kept burning in the Middle of Ireland, at Usinach.
Some accounts tell of how the Celts would burn someone at the stake who was thought to have already been possessed, as sort of a lesson to the spirits. Other accounts of Celtic history debunk these stories as myth.
The Romans adopted the Celtic practices as their own. But in the first century AD, they abandoned any practice of sacrificing of humans in favor of burning effigies.
The thrust of the practices also changed over time to become more ritualized. As belief in spirit possession waned, the practice of dressing up like hobgoblins, ghosts, and witches took on a more ceremonial role.
The custom of Halloween was brought to America in the 1840's by Irish immigrants fleeing their country's potato famine.
At that time, the favorite pranks in New England included tipping over outhouses and unhinging fence gates.
The custom of trick-or-treating is thought to have originated not with the Irish Celts, but with a ninth-century European custom called souling.
On November 2, All Souls Day, early Christians would walk from village to village begging for "soul cakes," made out of square pieces of bread with currants. The more soul cakes the beggars would receive, the more prayers they would promise to say on behalf of the dead relatives of the donors. At the time, it was believed that the dead remained in limbo for a time after death, and that prayer, even by strangers, could expedite a soul's passage to heaven.
The Jack-o-lantern custom probably comes from Irish folklore. As the tale is told, a man named Jack, who was notorious as a drunkard and trickster, tricked Satan into climbing a tree. Jack then carved an image of a cross in the tree's trunk, trapping the devil up the tree. Jack made a deal with the devil that, if he would never tempt him again, he would promise to let him down the tree.
According to the folk tale, after Jack died, he was denied entrance to Heaven because of his evil ways,but he was also denied access to Hell because he had tricked the devil. Instead, the devil gave him a single ember to light his way through the frigid darkness. The ember was placed inside a hollowed-out turnip to keep it glowing longer.
The Irish used turnips as their "Jack's lanterns" originally. But when the immigrants came to America, they found that pumpkins were far more plentiful than turnips. So the Jack-O-Lantern in America was a hollowed-out pumpkin, lit with an ember.
So, although some cults and devil worshippers may have adopted Halloween as their favorite "holiday," the day itself did not grow out of evil practices. It grew out of the rituals of Celts celebrating a new year, and out of Medieval prayer rituals of Europeans. And today, even many churches have Halloween parties or pumpkin carving events for the kids. After all, the day itself is only as evil as one cares to make it.
? 1995-2000 by Jerry Wilson; Get Permission to Reprint this article. References: Charles Panati, Extraordinary Origins of Everyday Things, 1987; and Dr. Joseph Gahagan, University of Wisconsin-Milwaukee, Personal letter, 1997

วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2552

Royal Cremation

In the middle of March, the final burial rites were paid to the late King Chulalongkorn, Princes and other Siamese subjects returning from abroad for the occasion. The final ceremony took place on the 16th March on the Pramane Ground, when after a whole week's services and special rites, the final ceremony was performed at a magnificent Phra Meru of a Sovereeign, specially prepared for the occasion. It was mentioned that, though Siam had adopted the Western custom of wearing black for mourning, yet white was still the official wear.

It is impossible in a work of this size to give full prominence to the great ceremony which accompanied the final funeral rites,so we must select only that portion which is specially descriptive of the momentous occasion.
For the details we are indebted to the local Press of the 17th March. In the course of its vivid Descriptions, we find the following with regard to the concluding phase of the proceedings

"It was a quarter to three when the head of the military part of the procession reached the Saranrom Palace, and the troops took quite an hour to pass that point. First came the Royal Body-guard band, followed by regiments of cavalry, artillery with guns, engineers and infantry. There were five bands in this part of the procession playing either Chopin's Marche Fun?bre or the Dead March in saul. Very well did the men march; slow, steady, in keeping with the music. The continuous wail of the Dead Marches for an hour on end, and the seemingly endless filing past of the troops made a deep impression, and was a fitting prelude to the progress of the body of the dead King through his sorrowing people to the pyrs."
Then we have the following , from the same sources



"Important as the military display undoubtedly was, still more impressive was the part of the procession to follow. Behind the last of the troops came the Tamruet Band, clad in scarlet with their musical instruments. They were several hundred strong, and as one looked down the Sananm Chai Rond at the approaching cortege, they presented a perfect blaze of colour, made impressive and wonderful by the view in the distance of the towering priests' car and still loftier funeral car, glittering in gold, and surrounded by a forest of royal emblems. Haunting and melancholy the funeral music of the Tamruet Band? Certainly is, and most appropriate for such an occasion. The dirge was played by one man, and two drummers, whose instruments were at a higher note than the rest, gave the signal for the majority to beat their instruments at a given time, this latter sound being like that produced on the muted strings of a violin. The musicians were heralded by four players on metal gongs of

wondrously soft and pleasing tone, played with two small sticks. Following the drummers came another body of men similarly attired and carrying silver trumpets not unlike trombones. These are employed to make that shrill blast which harmonises so well with the sound made by the conchshell musicians, who followed them. The appearance of high officials carrying jewelled swords, spears, and old gold vessels told of the near approach of the central object of the procession. They were succeeded by men carrying the insignia of royalty in the shape of five-tiered umbrellas and fans. These belonged to the Holy Prince, (presiding over the ceremonies, Ed.), who, seated on his lofty car, recited passages from the sacred books as he passed along. Then came the Urn itself. The huge state car?, drawn by two hundred and twenty scarlet-clad pullers moved easily along the street, pausing only at the Queen Mother's pavilion. The car is solidly built, but withal of graceful design, design, rising tier on tier till the small platform is reached where glittered the Urn. It may be remarked that the car was the same as used at King Mongkut's cremation, but the understructure had been entirely renovated and replaced, and the whole set on springs. This accounted for the steadiness with which the car was moved along. The question of suing horses for this work had been considered, but owing to the slow nature of the procession, it was finally decided to adhere to the old custom.
"On both sides of the funeral car walked the Chao Phyas, and some leading Phyas, and high above were carried the royal umbrella and fans. Seated on the first tier were men carried large clusters of peacocks' feathers, and they were succeeded by the Brahmin priests, with there hair unbound, who led two richly-carparisoned poines." The first of the royal mourners walked His Majesty the King in Field-Marshal's uniform, and wearing the sash of the order of the House of Maha Chakri. His Majesty, who was preceded by two standard-bearers, and followed by the members of his Household bearing royal insignia, acknowledged the respectful salutations of his own subjects and the other national assembled, by raising his baton. Of his own subjects and the other national assembled, by raising his baton.
"His Majesty then proceeded to the Royal pavilion, while the preparations for the cremation were made inside the Meru. The King took part in the ceremonies that followed. As sunset approached, the lights around the Meru were gradually switched on . At length, when everything was ready, the golden curtains were swung back and the doors thrown open. At 6.33 p.m. His Majesty ascended to the Meru by the southern entrance, and started the ceremonial lighting of the pyre. This was immediately followed by the National Anthem by the assembled bands.
"His Majesty was followed up the steps of the Meru by Prince Bhanurangsi and the other members of the Royal House. Later in the evening, the Queen Mother and Somdet Phra Nang Chao Phra Borom Raja Devi, together with the other Princesses and Ladies of the Palace, visited the Meru."
In the noble words of Longfellow, we can only repeat in conclusion "Lives of great men all remind us, We can make our lives sublime, And, departing, leave behind us Footprints in the sands of Time."
geovisit();




วันพฤหัสบดีที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ตำนานการกินเจ


การกินเจ มีมาตั้งแต่บรรพกาล ซึ่งชาวจีนถือปฎิบัติเป็นประเพณีสืบต่อกันมาช้านาน เทศกาลกินเจจะเริ่มตั้งแต่ ๑ ค่ำ ถึง ๙ ค่ำ เดือน ๙ นับตามปฏิทินจีน ซึ่งจะตรงกับเดือนตุลาคมของไทยเรา ตามตำนานเล่าว่า เมื่อเล่าจื๊อ ศาสดาแห่งลัทธิเต๋าเกิดขึ้นได้ถือพรตของลัทธิเต๋าแต่นั้นมา เมื่อก่อนนั้น การกินเจไม่มีการกำหนดว่าจะกินกันเมื่อไร แต่ถือเอาความสะดวกของผู้กิน จะกินวันไหน เดือนไหนก็ได้ แต่ส่วนใหญ่แล้ว ผู้คนนิยมกินเจในช่วงไว้ทุกข์ ทั้งนี้เพื่อเป็นการปฎิบัติตนในทางที่ดีงาม เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ที่ล่วงลับไปแล้วด้วย ต่อมาเมื่อเกิดกบฏไท้เผ้ง ซึ่งชาวจีนได้รวมตัวกันเพื่อต่อต้านและหวังกอบกู้แผ่นดินจากพวกแมนจู ผู้ก่อการกบฏ ถูกจับประหารชีวิต ยังความโศกเศร้า เสียใจให้กับชาวจีนจึงร่วมกันปฎิบัติธรรม โดยกินเจและถือศิล เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ถูกประหารชีวิต การกินเจจึงถูกกำหนดให้เป็นเทศกาลตั้งแต่นั้นมา เมื่อถึงเทศกาลกินเจ ชาวจีนจะนุ่งขาวห่มขาว เพื่อแสดงถึงการตัดกิเลสจากโลกภายนอก ถือศิล กินเจ โดยปฏิบัติดังนี้
1. งดเว้นการบริโภคเนื้อสัตว์ อันเป็นเหตุให้ไม่ต้องแสวงหาเนื้อสัตว์ หรือทำอันตรายต่อชีวิตสัตว์ ไม่เบียดเบียนสัตว์ในทุกกรณีรวมทั้งน้ำนมและน้ำมัน ที่มาจากสัตว์อีกด้วย
2. รักษาศีลห้าและรักษาพรหมจรรย์
3. ทำบุญทำทาน
4. รักษาจิตใจให้บริสุทธิ์
5. แต่งกายด้วยเครื่องแต่งกายสีขาว
6. งดเว้นผักที่ให้กลิ่นแรงต่างๆ เช่น ผักชี กระเทียม หัวหอม ต้นหอม กุยช่าย เพราะถือว่าเป็นสิ่งกระตุ้นอารมณ์
เมื่อการกินเจกำหนดเป็นเทศกาลขึ้น และมีกำหนดถึง ๙ วัน ทำให้เทศกาลกินเจขยายใหญ่ขึ้นทุกที จนกลายเป็นงานที่ใหญ่และสำคัญอีกอย่างหนึ่งของชาวจีน งานการกุศลต่างๆ จึงมารวมกันในเทศกาลนี้ เช่น การทิ้งกระจาด การลอยกระทง สิ่งเหล่านี้ถูกนำเข้ามาทีหลังเพื่อเสริมให้เทศกาลกินเจดูยิ่งใหญ่ขึ้น

วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2552

GAT/PAT เดือนตุลาคม 2552 จ้า..


คำแนะนำ
ก. กรุณาพิมพ์บัตรประจำตัวผู้เข้าสอบ เพื่อตรวจสอบเลขที่นั่งสอบ สนามสอบและห้องสอบ ตั้งแต่วันที่ 5 กันยายน 2552 เวลา 09.00 น. เป็นต้นไป

ข. ในวันสอบ ผู้เข้าสอบต้องแสดงบัตรประจำตัวประชาชน หรือ บัตรประจำตัวนักเรียนที่มีรูปถ่าย มิฉะนั้น ท่านจะไม่มีสิทธิ์เข้าสอบ

ค. กรรมการคุมสอบ อาจขอให้ท่านแสดงบัตรประจำตัวผู้เข้าสอบ โปรดเตรียมบัตรประจำตัวผู้เข้าสอบเพื่อการตรวจสอบ เพื่อประโยชน์ของท่านเอง
ง. ในวันสอบ ผู้เข้าสอบควรไปถึงสนามสอบก่อนเวลา อย่างน้อย 15 นาที ผู้เข้าสอบสายเกิน 30 นาที จะไม่มีสิทธิ์เข้าสอบ

วันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2552

วันออกพรรษา



ความสำคัญ วันออกพรรษา ได้แก่ วันที่สิ้นสุดระยะการจำพรรษา คือ วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ในวันนี้พระสงฆ์จะประกอบพิธีทำสังฆกรรม ซึ่งเรียกว่า วันมหาปวารณา คือ การเปิดโอกาสให้ภิกษุด้วยกันว่ากล่าวตักเตือนกันได้ ทั้งนี้เพราะในระหว่างพรรษานั้น พระสงฆ์บางองค์อาจมีข้อบกพร่องที่จำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุง การเปิดโอกาสให้ผู้อื่นว่ากล่าวตักเตือนได้ เป็นวิธีที่จะรู้ถึงข้อบกพร่องของตน ทั้งนี้กระทำโดยเปิดเผย ไม่ถือเป็นเรื่องที่จะมาโกรธเคืองกันภายหลัง หรือเปิดโอกาสให้ซักถามข้อสงสัยซึ่งกันและกัน การกระทำมหาปวารณา เป็นการสังฆกรรมอย่างหนึ่งแทนการสวดพระปาฏิโมกข์ (พระวินัย) ที่ได้กระทำกันทุกๆ ๑๕ วันในช่วงเข้าพรรษา

การปฏิบัติตน แม้การปวารณาจะเป็นเรื่องระหว่างพระสงฆ์ด้วยกัน แต่การออกพรรษาก็เป็นวาระสำคัญอีกวาระหนึ่งที่ชาวบ้านจะได้มีโอกาสทำบุญร่วมกัน โดยในวันรุ่งขึ้น คือ วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ มีประเพณีทำบุญตักบาตร ที่เรียกกันว่า ทำบุญตักบาตรเทโว หรือเรียกเต็มๆ ว่า ตักบาตรเมโวโรหนะ สืบเนื่องจากความเชื่อตามตำนานที่ว่าวันนี้เป็นวันคล้าย วันที่พระพุทธเจ้าได้เสด็จลงจากเทวโลกหลังจากที่ได้เสด็จกลับจากการไปโปรดพระพุทธมารดา ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์บางวัดอาจจัดพิธีทำบุญตักบาตรธรรมดา แต่บางวัดก็จัดเป็นงานใหญ่โต เสร็จจากการทำบุญตักบาตร พุทธศาสนิกชนจะไปฟังธรรม และรักษาอุโบสถศีล

กิจกรรมต่างๆ ที่ควรปฏิบัติในวันออกพรรษา
๑. ทำบุญตักบาตร อุทิศส่วนกุศลให้แก่ญาติผู้ที่ล่วงลับ
๒. ไปวัดเพื่อปฏิบัติธรรม ฟังพระธรรมเทศนา
๓. ร่วมกุศลกรรม "ตักบาตรเทโว"
๔. ปัดกวาดบ้านเรือนให้สะอาด ประดับธงชาติตามอาคารบ้านเรือนและสถานที่ราชการ และประดับธงชาติและธงธรรมจักตามวัดและสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา

ประเพณีที่เกี่ยวข้องกับวันออกพรรษา ประเพณีที่เกี่ยวข้องกับวันออกพรรษาที่นิยมปฏิบัติ คือ
๑. ประเพณีตักบาตรเทโว (วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ หลังจากออกพรรษาแล้ว ๑ วัน)
๒. พิธีทอดกฐิน (ตั้งแต่วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ กำหนด ๑ เดือนนับตั้งแต่วันออกพรรษา)
๓. พิธีทอดผ้าป่า (ไม่จำกัดกาล)
๔. ประเพณีเทศน์มหาชาติ (นิยมทำกันในวันขึ้น ๘ ค่ำ หรือ วันแรม ๘ ค่ำ กลางเดือน ๑๒ ในบางท้องถิ่นอาจนิยมทำกันในเดือน ๕ ต่อเดือน ๖ หรือในเดือน ๑๐)

วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2552

^0^141 ที่สุดของโลกค่ะ^0^

1.ทวีปที่ใหญ่ที่สุดในโลก - ทวีปเอเซีย

2.ทวีปที่เล็กที่สุดในโลก - ทวีปออสเตรเลีย

3.คาบสมุทรที่ใหญ่ที่สุดในโลก - คาบสมุทรอาหรับ

4.มหาสมุทรที่ใหญ่ที่สุดในโลก - มหาสมุทรแปซิฟิก

5.มหาสมุทรที่เล็กที่สุดในโลก - มหาสมุทรแอนตาร์กติก

6.ทะเลที่ใหญ่ที่สุดในโลก - ทะเลจีนใต้

7.ทะเลส่วนที่ลึกที่สุดในโลก - บริเวณChallenger ใกล้เกาะมาเรียนา ในมหาสมุทรแปซิฟิก

8.ทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในโลก - ทะเลสาบสุพีเรีย อยู่ระหว่างสหรัฐอเมริกา กับแคนาดา

9.ทะเลสาบน้ำเค็มที่ใหญ่ที่สุดในโลก - ทะเลสาบแคสเปียน อยู่ระหว่างทางใต้ของรัสเซียกับอิหร่าน

10.ทะเลสาบที่มีน้ำเค็มที่สุดในโลก - ทะเลสาบเดดซี อยู่ระหว่างอิสราเอลกับจอร์แดน

11.ทะเลสาบน้ำจืดที่ลึกที่สุดในโลก - ทะเลสาบไบคาล ในไซบีเรีย ประเทศรัสเซีย

12.ทะเลสาบที่ตั้งอยู่สูงที่สุดในโลก - ทะเลสาบกัลลาเซียล ในธิเบต

13.ทะเลสาบที่มนุษย์สร้างขึ้นที่ใหญ่ที่สุดในโลก - ทะเลสาบมืด เหนือเขื่อนระหว่างรัฐเนวาดากับอริโซนา

14.อ่าวที่ใหญ่ที่สุดในโลก - อ่าวเม็กซิโก

15.ปากแม่น้ำที่กว้างที่สุดในโลก - ปากแม่น้ำออฟเฟน โพรเซ็น อ๊อป ประเทศรัสเซีย

16.แม่น้ำที่ยาวที่สุดในโลก - แม่น้ำไนล์ ทวีปแอฟริกา

17.แม่น้ำที่สั้นที่สุดในโลก - แม่น้ำดี ริเวอร์ รัฐโอเรกอน ประเทศสหรัฐอเมริกา

18.แม่น้ำที่กว้างที่กว้างที่สุดในโลก - แม่น้ำอเมซอน ทวีปอเมริกาใต้

19.แม่น้ำที่เกิดอุทกภัยมากที่สุดในโลก - แม่น้ำฮวงโหหรือแม่น้ำวิปโยค ประเทศจีน

20.คลองธรรมชาติที่ยาวที่สุดโลก - คลองยุ่นโห ประเทศจีน

21.คลองที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจมากที่สุดในโลก - คลองสุเอช

22.หมู่เกาะที่มีเกาะต่างๆอยู่หนาแน่นที่สุด - หมู่เกาะอินดีส

23.ช่องแคบที่ยาวที่สุดในโลก - ช่องแคบตาต้า

24.เกาะที่ใหญ่ที่สุดในโลก - เกาะกรีนแลนด์ มหาสมุทรอาร์คติค

25.ยอดเขาที่สูงที่สุดในโลก - ยอดเขาเอเวอเรสต์

26.เทือกเขาที่ยาวที่สุดในโลก - เทือกเขาแอนดีส ทวีปอเมริกาใต้

27.ช่องแคบระหว่างภูเขาที่ใหญ่ที่สุดในโลก - ช่องแคบบนแกรนด์ แคนยอน รัฐอริโซน่า ประเทศสหรัฐอเมริกา

28.ยอดภูเขาไฟที่สวยและสูงที่สุดในโลก - ภูเขาไฟฟูจิยามา ประเทศญี่ปุ่น

29.ทะเลทรายที่ใหญ่และร้อนที่สุด - ทะเลทรายซาฮาร่า ในแอฟริกาเหนือ

30.น้ำตกที่มีทัศนียภาพสวยงามและใหญ่ที่สุดในโลก - น้ำตกไนแองการา อยู่ระหว่างสหรัฐอเมริกา และแคนาดา

31.น้ำตกที่สูงที่สุดในโลก - น้ำตกแองเจิล ประเทศเวเนซูเอลา

32.ประเทศที่มีเนื้อที่มากที่สุดในโลก - ประเทศรัสเซีย

33.ประเทศที่เล็กที่สุดในโลก - นครรัฐวาติกัน

34.ประเทศที่มีพลเมืองมากที่สุด - ประเทศจีน

35.เมืองที่มีพลเมืองมากที่สุด - โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น

36.ประเทศที่มีพลเมืองน้อยที่สุด - นครรัฐวาติกัน

37.ประเทศที่มีเกาะมากที่สุด - ฟิลิปปินส์

38.ประเทศที่มีทะเลสาบมากที่สุด - ฟินแลนด์

39.ประเทศที่มีภูเขาไฟมากที่สุด - อินโดนีเซีย

40.ประเทศที่อยู่สูงที่สุด - ธิเบต

41.ประเทศที่มีพื้นที่ต่ำที่สุด - อิสราเอล

42.ประเทศที่มีแผ่นดินไหวบ่อยที่สุด - ประเทศญี่ปุ่น

43.ประเทศที่มีภาษามากที่สุด - ประเทศอินเดีย

44.ประเทศที่มีเมืองขึ้นมากที่สุด - อังกฤษ

45.เมืองที่มีคลองมากที่สุด - เวนิส ประเทศอิตาลี

46.ประเทศที่ขุดแร่ดีบุกมากที่สุด - มาเลเซีย

47.ประเทศที่ปลูกกาแฟมากที่สุด - บราซิล

48.ประเทศที่ผลิตกระดาษมากที่สุด - แคนาดา

49.ประเทศที่ขุดเพชรได้มากที่สุด - สหภาพแอฟริกาใต้

50.ประเทศที่มีแร่เงินมากที่สุด - เม็กซิโก

51.ประเทศที่มียางพารามากที่สุด - มาเลเซีย

52.ประเทศที่มีทับทิมมากที่สุด - พม่า

53.ประเทศที่มีทองคำขาวมากที่สุด - สหภาพโซเวียตรัสเซีย

54.ประเทศที่มีแร่พลวงมากที่สุด - สาธารณรัฐประชาชนจีน

55.ประเทศที่ขุดสินแร่อลูมิเนียมได้มากที่สุด - สวิสเซอร์แลนด์

56.ประเทศที่ผลิตหินอ่อนมากที่สุด - อิตาลี

57.ประเทศที่ผลิตแร่ปรอทได้มากที่สุด - สเปน

58.ประเทศที่มีถ่านหินมากที่สุด - สหรัฐอเมริกา

59.ประเทศที่มีแมงกานีสมากที่สุด - อินเดีย

60.ประเทศที่ประดิษฐ์และส่งดาวเทียมประเทศแรก - สหภาพโซเวียตรัสเซีย

61.ประเทศที่ส่งมนุษย์อวกาศไปดวงจันทร์ได้สำเร็จประเทศแรก - สหรัฐอเมริกา

62.ประเทศที่จับปลาได้มากที่สุดในโลก - ญี่ปุ่น

63.ประเทศที่มีฟยอร์ดมากที่สุดในโลก - นอร์เวย์

64.ประเทศที่ผลิตเหล้าองุ่นมากที่สุด -ฝรั่งเศส

65.ประเทศที่ผลิตเบียร์มากที่สุด - เยอรมนี

66.ประเทศที่ปลูกอ้อยมากที่สุด - คิวบา

67.ประเทศที่มีต้นควินินมากที่สุด - อินโดนีเซีย

68.ประเทศที่ปลูกข้าวสาลีมากที่สุด - รัสเซีย

69.ประเทศที่ปลูกชามากที่สุด - สาธารณรัฐประชาชนจีน

70.ประเทศที่ปลูกฝ้ายมากที่สุด - สหรัฐอเมริกา

71.ประเทศที่มีข้าวเจ้าพันธุ์ดีที่สุด - ไทย

72.ประเทศที่มีแร่เหล็กมากที่สุด - สวีเดน

73.ประเทศที่เลี้ยงไหมมากที่สุด - จีน

74.ประเทศที่ผลิตนมมากที่สุด - สวิสเซอร์แลนด์

75.ประเทศที่ปลูกสับปะรดมากที่สุด - เกาะฮาวาย สหรัฐอเมริกา

76.ประเทศที่ปลูกส้มมากที่สุด - รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา

77.ประเทศที่ผลิตพรมได้มากและคุณภาพดีที่สุด - เปอร์เซีย

78.ประเทศที่ขุดน้ำมันดิบส่งออกมากที่สุด - ซาอุดิอาระเบีย

79.ชาติที่ประดิษฐ์เข็มทิศใช้ในการเดินเรือเป็นชาติแรก - จีน

80.บัตรอวยพรอะไรที่มีเป็นอย่างแรก - บัตรอวยพรวันวาเลนไทน์

81.ศาสนาที่มีคนนับถือมากที่สุด - ศาสนาคริสต์

82.ศาสนาที่เก่าแก่ที่สุด - ศาสนาฮินดู

83.กำแพงที่ยาวที่สุด - กำแพงเมืองจีน

84.วัดที่ใหญ่ที่สุดในโลก - นครวัต ประเทศกัมพูชา

85.โรงแรมที่ใหญ่ที่สุดในโลก - โรงแรมลาสเวกัส ฮิลตัน รัฐเนวาดา สหรัฐอเมริกา

86.ตึกที่สูงที่สุดในโลก - ตึกเซียส์ ที่ชิกาโก สหรัฐอเมริกา

87.ป่าที่ใหญ่ที่สุด - ป่ามหาวัน ประเทศอินเดีย

88.สะพานที่ยาวที่สุด - สะพานเซคอนด์ เลค พอนซาเทรน คอสเวย์ อยู่ที่ลอสแองเจลลิส สหรัฐอเมริกา

89.สะพานที่กว้างที่สุด - สะพานซิดนีย์ ฮาร์เบอร์ บริดจ์

90.สะพานแขวนที่ยาวที่สุด - สะพานพระราม9 กรุงเทพมหานคร

91.ทางรถไฟที่ยาวที่สุด - ทรานส์ไซบีเรีย

92.อุโมงค์รถไฟที่ยาวที่สุด - อุโมงค์ซิมพลอน

93.สถานีรถไฟที่ใหญ่ที่สุด - สถานีแกรนด์ เซนทรัล เทอร์มินอล

94.ถนนที่ยาวที่สุด - ถนนแพน-อเมริกัน ไฮเวย์

95.เครื่องบินโดยสารที่ใหญ่ที่สุด - เครื่องบินเจ็ท โบอิ้ง747

96.เรือเดินสมุทรที่ใหญ่ที่สุด - เรือควีน อลิซาเบธ

97.เรือบรรทุกน้ำมันที่ใหญ่ที่สุด - เรือซีวีส ไจเอ้น

98.ป่าที่ทึบที่สุดในโลก - ป่าเซลวาส ลุ่มแม่น้ำอเมซอน

99.ต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุด - ต้นซานตา มาเรีย เด็ล ตูลี ในเม็กซิโก

100.ต้นไม้ที่อายุยืนที่สุดในโลก - ต้นสนPinus longaeva รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา

101.ดอกไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก - Arnold 's Rafflesia เกาะสุมาตรา

102.ปิรามิดที่ใหญ่ที่สุดในโลก - ปิรามิดQuetzalcoatl

103.คุกที่แข็งแรงที่สุด - คุกอัลคาตราส ในซานฟรานซิสโก

104.จัตุรัสที่ใหญ่ที่สุด - จตุรัสเทียนอันเหมิง ปักกิ่ง

105.สิ่งก่อสร้างที่สวยงามที่สุด - สุสานหินอ่อนทัชมาฮาล เมืองอักรา ประเทศอินเดีย

106.ประเทศที่มีชื่อเสียงในการทำนาฬิกา - สวิสเซอร์แลนด์

107.ระฆังใบใหญ่ที่สุด - ระฆังซาร์โคโลโคล อยู่ที่ปราสาทอิวานเวลิกี้ พระราชวังเครมลิน มอสโคว สหภาพโซเวียต

108.เพชรเม็ดใหญ่ที่สุดในโลก - เพชรคุลลินาน

109.หอสมุดที่ใหญ่ที่สุดในโลก - หอสมุดรัฐสภาอเมริกัน ในกรุงวอชิงตัน

110.นาฬิกาเรือนใหญ่ที่สุดในโลก - นาฬิกาบิกเบน กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ

111.ดาวเคราะห์ที่อยู่ใกล้โลกมากที่สุด - ดาวศุกร์

112.ดาวฤกษ์ดวงไหนมีแสงสว่างมากที่สุด - ดาวซิริอัส(Sirius) มีสีเขียวแกมน้ำเงิน

113.นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรก - นางศิริมาโว บันดาราไนยเก ประเทศศรีลังกา

114.มนุษย์อวกาศคนแรกของโลก - ยูริ กาการิน ชาวรัสเซีย

115.มนุษย์อวกาศหญิงคนแรกของโลก - วาเลนตินา วลาดิมิโรฟนา เทเรสโกวา ชาวรัสเซีย

116.ผู้ที่เดินเรือรอบโลกเป็นคนแรก - แม็คเจลแลน

117.สัตว์ที่มีจำนวนมากที่สุด - แมลง

118.สัตว์ที่มีอายุยืนที่สุด - เต่าทะเล

119.สัตว์บกที่มีขนาดใหญ่ที่สุด - ช้าง

120.สัตว์น้ำที่มีขนาดใหญ่ที่สุด - ปลาวาฬ

121.นกที่มีขนาดใหญ่ที่สุด - นกกระจอกเทศ

122.สัตว์ที่มีเสียงดังที่สุด - ปลาวาฬสีน้ำเงิน

123.สัตว์ที่เตลื่อนที่ได้เร็วที่สุด - เหยี่ยวฟิรีกริน

124.สัตว์ที่เคลื่อนที่ได้ช้าที่สุด - ปู ในบริเวณทะเลแดง

125.นกที่มีอายุยืนที่สุด - กา

126.นกที่ตัวเล็กที่สุด - นกฮัมมิ่ง

127.นกที่บินเร็วที่สุด - นกอินทรี

128.นกที่มองได้ไกลที่สุด - เหยี่ยว

129.นกที่ตาไวที่สุด - แร้ง

130.สัตว์ที่สายตาสั้นและดุร้ายที่สุด - แรด

131.ปลาที่ร้ายกาจที่สุด - ปิรันยา

132.ไก่ที่ไข่ดกที่สุด - ไก่พันธุ์เล็กฮอร์น

133.ธาตุที่เบาที่สุด - ธาตุไฮโดรเจน

134. เนื้อที่ : ประเทศรัสเซีย เป็นประเทศที่มี เนื้อที่มากที่สุดในโลก ประมาณ 17,075,400 ตารางกิโลเมตร เนื้อที่น้อยที่สุด คือ นครรัฐ วาติกัน มี เพียง 0.44 ตารางกิโลเมตร

135. ระดับความสูงของที่ตั้งประเทศ :ประเทศธิเบตเป็นประเทศ ที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลมากที่สุดในโลก คือ สูงกว่า ระดับน้ำทะเล 12,087 ฟุต (3,626.1 เมตร) ส่วนประเทศที่ตั้งอยู่ต่ำ ที่สุด คือ ประเทศอิสราเอลบริเวณทะเล Death Sea ซึ่งต่ำกว่าระดับ น้ำทะเล 1,292 ฟุต (387.60 เมตร)

136. พรมแดนของประเทศ : ประเทศจีนมีพรมแดน ติดต่อกับ ประเทศเพื่อนบ้านมากที่สุดในโลกถึง 14 ประเทศ ส่วนพรมแดน รอยต่อประเทศที่ยาวที่สุดในโลก คือ พรมแดนระหว่างประเทศ สหรัฐอเมริกากับประเทศแคนาดา ที่ยาวถึง 3,987 ไมล์ หรือ ประมาณ 6,379 กิโลเมตร ส่วนพรมแดนที่สั้นที่สุดคือ พรมแดน ของประเทศอิตาลีกับนครรัฐวาติกัน ที่ยาวเพียง 2.53 ไมล์ หรือ ประมาณ 4.05 กิโลเมตรเท่านั้น

137. จำนวนประชากร : ประเทศจีนเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก ราว 1,178.5 ล้านคน 5. อัตราการเกิด : ประเทศมาลาวี ทวีปแอฟริกา เป็นประเทศ ที่มีอัตราการเกิดมากที่สุด คือ ร้อยละ 5.5 ส่วนนครรัฐวาติกัน มีอัตราการเกิดน้อยที่สุด คือ มีอัตราการเกิดเป็น 0

138. อัตราการตาย : ประเทศอัฟกานิสถาน เป็นประเทศที่มีอัตราการตายมากที่สุดคือ ร้อยละ 2.2 ส่วนคูเวตมีอัตราการการตายต่ำสุด เพียงร้อยละ 0.2 เท่านั้น

139. อายุเฉลี่ย : ประเทศที่จัดว่ามีประชากรอายุยืนที่สุด คือ ญี่ปุ่น ซึ่งมีอายุเฉลี่ย ชาย 76 ปี หญิง 82 ปี ส่วนประเทศที่ประชากรมี อายุเฉลี่ยต่ำสุด ได้แก่ ประเทศ เซียร์ราลีโอน เฉลี่ยชาย 41 ปี เฉลี่ยหญิง 45 ปี

140. ภาษาพูด : ประเทศอินเดียครองความเป็นเจ้าแห่งภาษา คือ มีภาษาพูดมากกว่า 840 ภาษา

141. เกาะ : ประเทศอินโดนีเซียเป็นประเทศที่มีเกาะมากที่สุด ในโลก คือ ประมาณ 13,000 เกาะ


******************************************************************************************************************


เเต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ

142. ที่ๆจะกว้างที่สุดในโลก คือ หัวใจเราทุกคน