วันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

26 เรื่องที่ควรรู้


01. วิธีรักษาโรคกระเพาะอาหาร ที่เริ่มเป็นหรือเป็นมานานเรื้อรังให้ปฏิบัติดังต่อไปนี้1. ทานข้าวให้ตรงเวลาอยู่เสมอ หากติดขัดให้ดื่มนมสดรสจืดแทน2. งดอาหารรสจัดต่างๆ ที่สำคัญมากห้ามใส่น้ำส้มสายชูเด็ดขาด3. ห้ามดื่มเครื่องดื่มประเภทน้ำอัดลม และน้ำแข็งก้อน (น้ำแข็งแช่เองในตู้เย็นทานได้บ้างไม่เป็นไร)4. ข้อนี้สำคัญสุด ให้ทานยา อูลกัสตริน ต้องเคี้ยวตัวยาให้ละเอียดด้วยก่อนกลืน ทานยานานสองเดือน
02. ปวดประจำเดือนอาการปวดประจำเดือนเกิดจากมดลูกมีการปีบตัวมากเกินไป เกิดอาการปวดเกร็งที่ท้องน้อยมากสมุนไพรที่ใช้แก้ปวดประจำเดือนมีอยู่หลายขนาน แต่ขอแนะนำเพียง 2 อย่าง1.ให้กิน งาดำคั่วบดผง วันละ 2 ครั้ง ครั้งละครึ่งช้อนชาเป็นประจำ เนื่องจากเป็นอาหารที่มีแร่ธาตุสูง โดยเฉพาะเหล็ก และแคลเซียม2.ใช้ ไพล หรือ ลูกใต้ไฟ หรือ ใบขี้เหล็กตัด อย่างใดอย่างหนึ่ง ประมาณ 1 กำมือใช้น้ำพอท่วมยา ต้มนาน 10-15 นาที ดื่มครั้งละ1/2 แก้วทุก 4 ชั่วโมงจะช่วยลดอาการปวดได้ข้อสำคัญหากมีอาการผิดปรกติอย่างอื่นร่วมด้วย อย่างเช่น มีเมือกออกมาพร้อมกับมีกลิ่นน่ารังเกียจ ควรพบแพทย์ด่วน เพื่อตรวจรักษา
03. การนั่งเล่นคอมฯนานๆและใช้มือจับเมาส์โดยปล่อยให้ข้อมือหรือส่วนของแขนสัมผัสขอบโต๊ะเป็นเวลานานหลายชั่วโมง และเป็นประจำบ่อยๆ นานวันเข้าจะไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพ เพราะบริเวณส่วนของร่างกายที่สัมผัสกับขอบโต๊ะนานนั้น ระบบวงจรการส่งผ่านของเลือดจะไปไม่สดวก มีวิธีแก้ไขง่ายๆโดยหาผ้านุ่มๆพับเป็นสี่เหลี่ยมหนาๆ แล้วนำมารองรับส่วนของร่งกายที่สัมผัสขอบโต๊ะ ก็จะช่วยแก้ปัญหานี้ได้
04. อากาศหนาวเย็น ควรหาผ้าพันคอไว้ จะได้ไม่เจ็บคอเวลานอนให้สรวมถุงเท้าไว้ด้วยจะได้ไม่เป็นหวัดง่าย ดื่มน้ำอุ่นหรือน้ำชาจีนอุ่นๆเสริมความอบอุ่นกับร่างกาย หากหนาวนักไม่ถูกกับน้ำ(ไม่ใช่กลัวน้ำ) ก็ใช้แบบทันสมัยหน่อย คือซักแห้ง ดีไปอย่างเก็บกลิ่นเดิมๆไว้ คนชิดใกล้จะได้จำถูกคน
05. การบูร ภัยใกล้ตัวทำลายเยื่อจมูกขาดแพทย์เตือนผู้นิยมใส่ในรถ-ห้องปรับอากาศ ชี้ระเหิดกลายเป็นไอเข้มข้นอันตรายต่อเยื่อจมูก มหาวิทยาลัยมหิดล เตือนผู้นิยมนำการบูร มีทั้งคุณและโทษ ต้องใช้ให้ดี ถ้าอยู่ใกล้ตัวใส่มากจะทำลายเยื่อบุจมูกได้ ระบุปกติจะใส่ในตู้เสื้อผ้าและที่มีกลิ่นอับ พร้อมแนะประคบสมุนไพรลดอาการปวดเมื่อย เคล็ดขัดยอกในฤดูหนาว ช่วยลดอาการอักเสบได้ รศ.พร้อมจิตต์ ศรลัมภ์ รองคณบดีคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่าปัจจุบันประชาชนนิยมนำการบูรมาใส่ในห้องปรับอากาศหรือในรถยนต์ โดยที่ไม่ทราบว่าประโยชน์ที่แท้จริงคืออะไร อยากฝากเตือนว่า ไม่อยากให้นำการบูรไปใส่ในห้องปรับอากาศหรือรถยนต์ เพราะการบูรระเหิดกลายเป็นไอ ถ้ามีปริมาณเข้มข้นในอากาศทำให้ระคายเคืองต่อเยื่อบุจมูกเป็นอันตรายได้ ปกติจะใส่ในตู้เสื้อผ้าหรือบริเวณที่มีกลิ่นอับ แต่ไม่ควรใส่ห่อใหญ่เกินไป ควรใส่การบูรเล็กน้อยพอไม่ให้ตู้มีกลิ่นอับเท่านั้น ถ้าใส่มากเกินไปอาจทำลายเยื่อจมูกได้
06. ดื่มน้ำอย่างไรให้ถูกวิธีการดื่มน้ำ ถ้าจะให้ดีก็ต้องดื่มให้ถูกวิธีด้วยนะคะ เพื่อที่ว่านอกจากทำให้ร่างกายนำน้ำไปใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่แล้ว ยังทำให้อวัยวะต่างๆแข็งแรงอีกด้วย วันนี้เราก็นำหลักปฏิบัติง่ายๆมาฝากค่ะดื่มทุกครั้งที่ร่างกายร้องขอ แต่อย่าพรวดพราดดื่มทีละมากๆ เพราะนั่นจะไปเพิ่มภาระให้ระบบขับถ่ายอย่าง ไต ปอด ม้าม รวมทั้งระบบย่อยด้วยที่เรียนกันมาว่าต้องดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้วนั้น หมายรวมถึงปริมาณทั้งหมดที่รับในแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็นน้ำจากผัก ผลไม้ น้ำแกง น้ำก๋วยเตี๋ยว ฯลฯ ถ้าคุณรับประทานอาหารรสที่ไม่จัดจ้านจนเกินไป คุณก็แทบจะไม่กระหายน้ำเลย แต่หากรับประทานเนื้อสัตว์ ของหวานจัด หรืออาหารแห้งๆ ทอด ย่าง ปิ้ง ร่างกายก็จะเรียกหาน้ำมากขึ้น ทำให้อวัยวะต่างๆทำงานหนัก ผลก็คือมันจะทรุดโทรมลงก่อนวัยอันควรอากาศร้อนของบ้านเรา ทำให้แทบทุกคนชอบเครื่องดื่มเย็นๆ จนติดเป็นนิสัยแม้ในช่วงที่มีอากาศเย็น ซึ่งทำให้อวัยวะต้องปรับน้ำที่เย็นกว่าให้เท่ากับอุณหภูมิร่างกายก่อนนำไปใช้ ส่งผลให้ร่างกายอ่อนแอลง ระบบย่อยอาหารไม่ดี หรือปวดประจำเดือน จึงควรดื่มน้ำอุ่นๆ เพื่อให้ร่างกายขับเหงื่อ และดื่มตอนที่รู้สึกกระหาย ที่สำคัญคือ ไม่ควรดื่มน้ำระหว่างรับประทานอาหาร เพราะทำให้น้ำย่อยเจือจาง ระบบย่อยอาหารทำงานช้าลง ร่างกายจะได้รับสารอาหารไม่เต็มที่ วิธีแก้ไขคือจิบน้ำอุ่น หรือซดน้ำซุปแก้ฝืดคอแทน แล้วเคี้ยวอาหารช้าๆ ให้ละเอียดก่อนกลืน จะช่วยลดการกระหายน้ำได้หากคุณต้องการดื่มน้ำให้ได้ประโยชน์ต่อร่างกายจริงๆ ควรดื่มตอนที่เพิ่งลุกจากเตียงหมาดๆ, ระหว่างมื้ออาหาร 1 ชั่วโมงก่อนอาหาร, และหลังจากอิ่มแล้วครั่งชั่วโมง นี่แหละค่ะดีต่อสุขภาพสุดๆ
07. ก้างปลาติดคอทำยังไงดีเวลากินข้าวอร่อยๆแล้วเกิดก้างปลาติดคอขึ้นมานี่ไม่สนุกเลยจริงไหมครับ บางคนก้างปลาติดคอ เข้าครั้งหนึ่ง ก็เลิกกินปลาไป นานเลยด้วย ความเข็ดขยาด ทำให้ขาดอาหารที่มีคุณค่าไปอีกอย่าง อย่างน่าเสียดาย ต่อไปนี้ถ้าเกิดก้างปลาติดคอ อย่าเพิ่งตกใจ ให้ลองทำตามวิธีต่อไปนี้กลืนน้ำอึกใหญ่ๆเข้าไป หรือจะปั้นข้าวเป็นก้อนกลืนเข้าไปทั้งก้อน โดยไม่ต้องเคี้ยวก็ได้ ใครมีกล้วยน้ำว้ากล้วยหอมอยู่ใกล้ๆ ก็กัดคำโตๆ แล้วกลืนลงไปเลยทั้งคำ ขนมปังปอนด์ที่นุ่มๆก็ช่วยได้สิ่งเหล่านี้ จะช่วยพาก้างปลาที่ติดอยู่หลุดลงคอไปพร้อมกัน ที่สำคัญคือ อย่าเอานิ้วล้วงเข้าไปเขี่ย ก้างปลาที่ติดคอ เป็นอันขาด เพราะจะยิ่งทำให้ก้างตำลึกเข้าไป เอาออกยากขึ้น ถ้าทำตามวิธีข้างต้นมาหมดแล้ว ยังไม่ได้ผล ก็ต้องรีบไปหาหมอเสีย แล้วล่ะครับ
08. สิวเกิดขึ้นได้ยังไง และจะรักษาอย่างไรคนที่เป็นสิวมักจะกลุ้มอกกลุ้มใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่กำลังจะโตเป็นหนุ่มเป็นสาวยิ่งกลุ้มใจนัก เพราะอายกลัวจะไม่สวย สิวนั้น เกิดขึ้นเพราะ ต่อมไขมันที่มีอยู่ตามผิวหน้าขับไขมันออกมา เมื่อไปรวมตัวกับฝุ่นละอองก็ทำให้เกิดการอุดตันที่ช่องขนของผิว จนอัก เสบขึ้นเป็นฝีหัวเล็กๆ เรียก กันว่าสิววิธีการรักษาก็คือ รักษาความสะอาดของหน้าอยู่เสมอ โดยล้างด้วยสบู่อ่อนๆอย่าปล่อยให้ท้องผูก โดยการออกกำลังกายทุกวัน อย่ากินอาหาร ที่มีไขมันมาก แล้วก็อย่าให้ผมสกปรก สิวก็จะไม่มาราวีแน่นอน
09. ดอกเล็บมีความหมายจริงหรือมีคนเชื่อว่า ถ้าใครมีดอกเล็บขึ้นที่เล็บใดเล็บหนึ่ง แสดงว่าคนๆนั้นกำลังจะมีคนรัก ความจริงแล้ว ดอกเล็บจะปรากฎให้เราเห็นเมื่อ เล็บของเราชำรุด หรือสุขภาพไม่สมบูรณ์ต่างหาก ฝรั่งเองก็มีความเชื่อเกี่ยวกับเล็บเหมือนกัน เช่นว่าถ้าเล็บขึ้นที่หัวแม่มือแปลว่าคนๆนั้น กำลังจะได้รับของกำนัล ขึ้นที่นิ้วชี้แปลว่าจะได้เพื่อนให้ ขึ้นที่นิ้วกลางแปลว่าจะมีศัตรู ขึ้นที่นิ้วนางแปลว่าจะได้รับจดหมาย ขึ้นที่นิ้วก้อยแปลว่าจะได้เดินทาง อ่านถึงตรงนี้แล้วหลายคนคงจะก้มลงดูเล็บของตัวเองกันใหญ่ว่ามีดอกเล็บขึ้นที่ตรงไหนบ้างหรือเปล่า แต่อย่าลืมว่านี่เป็นเพียงความเชื่อของคนเท่านั้น อาจจะไม่เป็นความจริงก็ได้ ที่แน่ๆก็คือเราจะต้องรีบกินอาหารที่มีแคลเซี่ยมเพื่อไปบำรุงเล็บโดยด่วน เพราะทางการแพทย์ถือว่าเล็บของใครมีดอกเล็บขึ้นมา แสดงว่าเล็บกำลังป่วยเสียแล้ว
10. ฟันผุเพราะอะไรคนที่กินขนมแล้วไม่ชอบแปรงฟัน มักจะเป็นเจ้าของฟันที่ผุเป็นรูกลวง ทำให้ปวดฟันและเคี้ยวอาหารไม่สะดวก อาการฟันผุที่ว่านี้ บางคนก็ปัก ใจเชื่อว่า เกิดจากหนอนมาชอนไชฟัน แต่ความจริงแล้ว ฟันผุเพราะแบคทีเรียที่มีอยู่ในปากตามธรรมชาติต่างหากล่ะ เมื่อไรที่มีเศษอาหารติดค้างอยู่ที่ฟัน แบคทีเรียในปากก็จะเปลี่ยนเศษอาหารให้เป็นกรด มาทำลายฟันของเราจนเป็นรูโบ๋ เพราะฉะนั้น เราก็ควรจะระวังไม่ให้มีเศษอาหารอยู่ตามซอกฟัน กินอาหารเสร็จแล้วก็ต้องรีบแปรงฟันเลย จะได้เป็นเจ้าของฟันสวยๆประทับใจเวลายิ้มยังไงล่ะ
11. กวางตุ้งกวางตุ้งเข้ามาเมืองไทยจนเรากินเป็นผักไทยไปแล้ว ผักกวางตุ้งต้ม ลวก ผัดก็อร่อย แต่ดีที่สุดต้องปิดฝาเวลาตั้งไฟเพื่อความ อร่อยปลอดภัย กินกวางตุ้งเท่าไรก็ไม่อ้วน หุ่นเพรียวเป็นกวาง เพราะกวางตุ้งไขมันน้อย กากใยมาก กินแล้วไปห้องแห่งความ สุขได้สบาย ไม่ต้องออกแรง ... กวางตุ้งกินแล้วร่างกายได้ภูมิต้านทานดีนัก กินให้มากหลากหลาย ระบบภายในจะได้ตุ้งแช่ ตุ้งแช่ ทำงานครึก ครื้นสมบูรณ์ดี
12. กุยช่ายเสน่ห์กุยช่ายอยู่ที่กลิ่น แต่คุณค่าทางอาหารอยู่ที่สีเขียวเข้มที่จะชี้จะๆว่า กุยช่ายอุดมสารอาหาร ทั้งเบต้า-แคโรทีนที่ช่วยป้องกันมะเร็ง เหล็กที่ช่วย ในการสร้างเม็ดเลือดแดง ดอกกุยช่ายอาจด้อยค่ากว่าใบ แต่มีของดีที่กากใยอาหาร ช่วยให้ของเสียที่ต้องระบายออกจากร่างกายถูกเคลื่อนย้าย ได้สะดวก ลดโอกาสเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้กลิ่นโชยมาเมื่อไร อย่าปล่อยให้กุยช่ายหลุดมือ
13. คะน้าคะน้ามีวิตามินซีสูงมาก ใครที่เป็นหวัด ผิวไม่สวย วิตามินซีช่วยได้ ช่วยให้เนื้อเยื่อของเราทำงานได้เต็มกำลัง ทีเด็ดพิเศษคือ คะน้ามีแคลเซียมสูง แคลเซียมของคะน้านั้นดูดซึมได้ดีกว่าแคลเซียมจากผักอื่นๆ
14. แครอทสีส้มสดใสสว่างของแครอทช่วยดับความกลัวโรคมะเร็งได้ ในแครอทมีเบต้า-แคโรทีนที่กำจัดสารก่อมะเร็งที่อาจมากับควันบุหรี่ หรือแสงแดด แผดจัด สารนี้ป้องกันมะเร็งได้ โดยเฉพาะมะเร็งในปอด ใครกินผักสด และผลไม้มากสม่ำเสมอ มีสารนี้ในเลือดมาก และใครมีมากก็ไม่ต้อง เสี่ยงกับมะเร็งปอด ลบความกลัวด้วยการกินแครอท ผักสด และผลไม้อื่นๆ
15. ต้นหอมต้นหอมมีคุณค่าทางอาหารเหมือนผักหลายๆชนิดที่ให้แคลเซียมและฟอสฟอรัสในส่วนที่เหมาะสมกับการดูดซึมของร่างกาย มีเบต้า-แคโรทีน และยังมีสารพวกฟลาโวนอยด์ โดยเฉพาะเควอซิทีนที่เป็นเกราะกันมะเร็งให้กับคนเราได้ เหมือนกับที่พบในไวน์แดงราคาแพงนั่นเอง ลองเลือก กินต้นหอมราคาถูก เพื่อรับฟลาโวนอยด์และสารอาหารมากกว่า 10 ชนิด พร้อมด้วยกากใยอาหารกันบ้างเป็นไร
16. กะหล่ำปลีกะหล่ำปลีมีวิตามินซีสูง กะหล่ำปลีสด กะหล่ำปลีคั้นเป็นตัวช่วยรักษาโรคกระเพาะ โดยดื่มน้ำคั้นวันละ 2 แก้ว นอกจากวิตามินซี กะหล่ำปลีมีสารต้านมะเร็งหลายตัว ... ในวันที่โรคมะเร็งเป็นโรคร้ายอันดับต้นๆของคนไทยเรา กะหล่ำปลีเป็นอีกหนึ่งผักที่ช่วยให้เราปลอดภัยจากโรคร้าย มากกว่าคนที่ไม่กินผัก
17. ดอกกะหล่ำกินดอกกะหล่ำ ผักดี ได้สเปิร์มดี ดอกกะหล่ำเป็นผักที่มีวิตามินซีมาก ใครกินดอกกะหล่ำสดหรือทำให้สุกอย่างรวดเร็วได้วิตามินซีสูง ล่าสุด ดร.แฮริส แห่งมหาวิทยาลัยเท็กซัส พบว่า วิตามินซีเพิ่มปริมาณและช่วยให้สุขภาพของสเปิร์มดีขึ้น ดอกกะหล่ำดีขนาดนี้ กินดี นอกจากสุขกาย แล้วยังสุขใจ ( กินดอกกะหล่ำ เพราะฉะนั้น เหงือกดี + ไม่เป็นหวัด + ไม่เป็นมะเร็ง + สเปิร์มแข็งแรง = ดี )ข้อควรระวังทานกะหล่ำปลีดิบมีพิษนะจะบอกให้ในกะหล่ำปลีดิบจะมีสารพิษที่เรียกว่า กอยโตรเจน (Goibrogen) ซึ่งเป็นสารที่จะไปกันไม่ให้ต่อมไทรอยด์จับไอโอดีนไปสร้างเป็นฮอร์โมนไทร๊อกซิน (Thyroscine) ได้ซึ่งผลที่เกิดขึ้นคือจะทำให้เกิดเป็นโรคคอหอยพอก แต่สารพิษเหล่านี้จะถูกทำลายได้ โดยการต้ม จึงควรับประทานกะหล่ำปลีสุกจะดีกว่ากะหล่ำปลีดิบ
18. กระเทียม หอมหลายท่านคงทราบข่าวกันแล้วว่า กระเทียมช่วยลดโคเลสเตอรอล ป้องกันมะเร็ง เพิ่มภูมิคุ้มกันโรค ฯลฯตั้งแต่ปี ค.ศ.1983 ที่ห้องสมุดทางการแพทย์แห่งชาติมหาวิทยาลัยแมรี่แลนด์ สามารถรวบรวมงานวิจัย เกี่ยวกับกระเทียมได้แล้วไม่น้อยกว่า 125 ชิ้น ในปี ค.ศ. 1944 Chester J. Cavallito สามารถแยกสาร Allicin ซึ่งมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อได้สำเร็จ สารอัลลิซินเป็นสารประกอบพวกกำมะถันสามารถสลายตัวให้ diallyldisulfide และสารประกอบของกำมะถันอื่นๆ ซึ่งมีกลิ่นฉุนเฉพาะตัว การใช้กระเทียมทางยาจึงต้องใช้กระเทียมสดที่ยังมีกลิ่นฉุนอยู่ดังนั้น หากท่านรับประทานกระเทียมสดได้ ก็ไม่ควรซื้อผลิตภัณฑ์อื่นๆมาใช้ให้สิ้นเปลืองเงินเสียเปล่าๆท่านที่เป็นนักบริโภคขาหมู เคยสังเกตไหมว่าผู้ขายบางรายจะมีกระเทียมสดเป็นเครื่องเคียงให้ด้วยราวกับรู้ว่ามื้อนี้ ท่านบริโภคโคเลสเตอรอลสูง จึงต้องแก้ด้วยกระเทียมสดกระเทียมช่วยได้หรือเป็นเช่นนั้นจริงๆ นักวิทยาศาสตร์พบว่า การรับประทานกระเทียมสดขนาด 1 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม จะช่วยลดปริมาณโคเลสเตอรอลในกระแสเลือด และป้องกันโรคหัวใจได้ในปี ค.ศ. 1987 Dr. Benjamin Lau และคณะ ทำการทดลอง ณ มหาวิทยาลัย Loma Linda แคลิฟอเนีย พบว่า กระเทียมหนึ่งหัว (ประมาณเก้ากลีบ) ต่อวัน ช่วยลดโคเลสเตอรอลตัวร้าย และไขมันในเลือดได้ใน 70 เปอร์เซ็นต์ของอาสาสมัคร เขายังพบว่า ในช่วงเดือนแรกของการรักษาด้วยกระเทียม ปริมาณโคเลสเตอรอลในกระแสเลือดจะสูงขึ้น เล็กน้อย ก่อนที่จะทยอยลดลงในสี่เดือนถัดมานอกจากนี้ยังมีการวิจัยพบประโยชน์ของกระเทียมอีกมากมาย เช่น การทดลองในอินเดียช่วยเพิ่มความรู้ ในการใช้กระเทียมอย่างถูกวิธี Dr. M. Sucur รายงานว่า จากการใช้กระเทียมกับผู้ป่วยสองร้อยคน พบว่า หลังจากที่โคเลสเตอรอลลดถึงระดับน่าพอใจแล้ว กระเทียมสดเพียงวันละสองกลีบก็เพียงพอที่จะป้องกันการเพิ่มของโคเลสเตอรอลได้เช่นเดียวกับหัวหอม เพื่อนสนิทของกระเทียมหัวหอมมีสารสำคัญ ไซโคลอัลลิอิน (Cycloallliin) ซึ่งมี คุณสมบัติคล้ายกระเทียมนายแพทย์วิกเตอร์ เกอร์วิช ผู้อำนวยการสถาบันการวิจัยระบบเลือดแห่งบอสตัน ได้ทดลองให้ผู้ป่วยที่มีระดับ โคเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) ต่ำถึงจุดวิกฤติจำนวน 20 คน รับประทานหอมหัวใหญ่ดิบทุกวัน วันละประมาณครึ่งหัวเป็นเวลาติดต่อกันสองเดือน พบว่าร้อยละเจ็ดสิบห้าของผู้ป่วยมีปริมาณ HDL เพิ่มขึ้นร้อยละยี่สิบถึงร้อยละสามสิบในเวลาสองเดือน และยังพบว่าระดับโคเลสเตอรอลโดยรวม (Total Cholesterol) ในกระแสเลือดลดลงน่าพอใจเขายังพบว่า หอมหัวใหญ่เพียงครึ่งหัวต่อวัน ก็เพียงพอที่จะให้ผลในการลดโคเลสเตอรอลตัวร้าย (LDL) และเพิ่มโคเลสเตอรอลที่ดี (HDL) และหอมสดเท่านั้นที่จะทำหน้าที่นี้ได้ดีที่สุดที่มา: เภสัชโภชนา 2 โดย ภก.สรจักร ศิริบริรักษ์
19. วิธีผายปอดด้วยการไอเจ้าหน้าที่ 2 คนจาก The Johnson City Medical Center ได้ค้นพบวิธีและได้ทำการศึกษาจากห้อง ICU และได้ทำการเขียนบทความขึ้น บทความนี้ได้ถูกตีพิมพ์และได้รับการบรรจุเข้าในวิชา ACLS และ CPR (Cardiopulmonary Resuscitation วิชาการผายปอด)วิธีการนี้ได้ถูกเรียกว่า "Cough CPR" (ผายปอดด้วยการไอ) วิธีการนี้สามารถช่วยเหลืออาการหัวใจล้มเหลวได้จริง และหากทุกคนที่ได้รับ email นี้ ส่งต่อให้คนอื่นๆด้วย พนันได้เลยว่าพวกเราอาจช่วยชีวิตคนได้อีก อย่างน้อยก็คงจะ 1 ชีวิตด้วยวิธีการนี้ลองอ่านดูตรงนี้... มันอาจช่วยชีวิตคุณได้!สมมติว่ามันเป็นเวลาหกโมงเย็น และคุณกำลังขับรถกลับบ้านคนเดียวหลังจากเลิกงานแล้ว คุณรู้สึกเหนื่อยล้า หดหู่ และเครียด ทันใดนั้นเอง คุณก็รู้สึกเจ็บหน้าอก อาการเจ็บเริ่มแพร่กระจายไปตามแขน และลามมาถึงขากรรไกร ถึงโรงพยาบาลที่ใกล้บ้านคุณที่สุดก็อยู่ห่างออกไปเพียง 5 ไมล์ แต่คุณก็ไม่รู้ว่าคุณจะไปถึงรึเปล่า? คุณจะทำอย่างไร? ถึงคุณอาจเคยเรียนวิธีผายปอดมาแล้ว แต่สิ่งที่คุณเรียนมานั้น ไม่ได้สอนว่าจะช่วยผายปอดตัวเองอย่างไร? จะทำอย่างไรดีหากคุณอยู่คนเดียว แล้วเกิดอาการหัวใจล้มเหลวกระทันหัน? อย่างไรก็ดี คุณยังคงสามารถช่วยเหลือตัวเองได้โดยการไอแรงๆ ซ้ำๆ อย่างต่อเนื่อง! ก่อนการไอแรงๆ ทุกครั้งควรสูดลมหายใจให้ลึกๆ การไอแต่ละครั้งควรไอให้ยาวๆ เหมือนกับตอนที่พยายามขากเสลดจากปอด การหายใจลึกๆ และไอแรงๆ ต้องกระทำต่อเนื่องทุกๆ 2 วินาที (ย้ำ ทุกๆ 2 วินาที) อย่างไม่หยุดจนกว่าจะได้รับการช่วยเหลือ หรือจนกระทั่งรู้สึกว่าหัวใจเต้นเป็นปกติแล้ว การหายใจลึกๆ จะทำให้ปอดได้รับออกซิเจน ส่วนการไอแรงๆ นั้นจะทำให้แรงกระเทือนไปช่วยบีบหัวใจและทำให้เลือดหมุนเวียนได้ และแรงกระเทือนและแรงบีบหัวใจจากการไอนี้ จะช่วยทำให้หัวใจกลับสู่การเต้นปกติได้ การทำแบบนี้จะช่วยให้ผู้ที่ประสพอาการหัวใจล้มเหลวกระทันหันพาตัวเองไปถึงโรงพยาบาลได้กรุณาส่งข้อความนี้ให้กับคนอื่นๆ ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อว่ามันอาจมีโอกาสได้ช่วยชีวิตของพวกเขาไว้
20. ข้าวโพดฝักอ่อนข้าวโพดอ่อนมีกากใยอาหารที่ช่วยให้ระบบทางเดินอาหารสะอาดพ้นสารพิษต่างๆ ทำให้ปลอดภัยจากพิษเคมีต่างๆที่ปนมาในอากาศ อาหาร และ ช่วยให้การส่งออกของเสียเป็นไปอย่างสะดวกสบาย
21. คึ่นช่ายคึ่นช่ายเหมาะสำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องไต เพราะมีโซเดียมน้อยกินเท่าไรก็ปลอดภัยต่อไต คึ่นช่ายมีสารพิเศษที่ทำให้หลอดเลือดขยายตัว ช่วยลดความดันได้ กินสดๆร่างกายได้รับวิตามินซี ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันโรค เบต้า-แคโรทีนแท้สดจากคึ่นช่ายผัด ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง และโรคหัวใจขาดเลือด รวมทั้งเพิ่มภูมิคุ้มกันโรค น้ำมันที่ใช้ปรุงอาหารช่วยให้เบต้า-แคโรทีนทำงานได้ดีขึ้น
22. แตงกวาแตงกวาเก่งเพราะน้ำ แตงกวาช่วยขับปัสสาวะ แก้ไข้ ให้ความสดชื่น ช่วยให้ผิวสวยเพราะชุ่มชื่น แตงกวามีพลังของน้ำอยู่เต็มผล หลายคน เป็นห่วงว่าเรากินแตงกวาเป็นผลหลัก กินกันหนักเกินไป เพราะแตงกวาไม่มีธาตุอาหารอะไรมากนัก ควรฟัง เพราะจริงๆก็เป็นเช่นนั้น แตงกวา มีน้ำมาก และสารอาหารน้อย เหมาะกินเพื่อความสดชื่นให้ร่างกาย หาผักสีเขียวเข้มกินควบกับแตงกวาด้วยจะดีมาก
23. คนอกหักเชิญทางนี้...(บัวบก)ในสมัยโบราณมีคำกล่าวไว้ว่า ถ้าช้ำในให้แก้ด้วยน้ำบัวบก ซึ่งปัจจุบันก็ยังมีการใช้น้ำบัวบกแก้ช้ำใน และมีคนทำน้ำบัวบกขายเพื่อเป็นเครื่องดื่มนอกจากนำบัวบกมาทำเป็นเครื่องดื่มแล้ว ยังมีการนำบัวบกมาเป็นเครื่องเคียงของก๋วยเตี๋ยวผัดไทย หมี่กรอบ และแกงเผ็ดทั้งหลาย และจากการที่เราบริโภคบัวบกเป็นผักสด เราจะได้เบต้าแคโรทีนซึ่งมีอยู่ในบัวบกสูง ทำให้สามารถป้องกันโรคหัวใจขาดเลือดและโรคมะเร็ง และจากการที่บัวบกมีวิตามินบี 1 ซึ่งเป็นวิตามินแห่งระบบสมอง ทำให้บัวบกมีสรรพคุณช่วยบำรุงสมองและทำให้ความจำดี ซึ่งถ้าท่านผู้อ่านที่มีอาการหลงลืม จะใช้บัวบกช่วยก็ได้บัวบกสามารถปลูกเป็นไม้ประดับบริเวณรอบๆบ้านได้ แต่ในขณะเดียวกันก็มีคุณค่าสามารถนำมาทำเป็นยาสมุนไพรได้ โดยส่วนที่นำมาทำเป็นยาคือต้นและใบที่สมบูรณ์เต็มที่ โดยตามตำราแพทย์แผนไทยระบุว่า บัวบกมีสรรพคุณซ่อมแซมสิ่งที่สึกหรอและเป็นยาบำรุงได้ แต่ในปัจจุบันนี้มีการศึกษาวิจัยพบว่า บัวบกมีสารสำคัญที่มีฤทธิ์ในการสมานแผล ทำให้แผลหายเร็ว โดยมีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์พบว่า สารสำคัญที่ได้จากบัวบกคือ madecassic acid, asiatic acid, asiaticoside, madecassoside ซึ่งสารสำคัญเหล่านี้มีฤทธิ์ในการสมานแผลทำให้แผลหายเร็ว นอกจากนั้นยังมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุให้เกิดหนอง มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อรา และมีฤทธิ์ลดการอักเสบได้ นอกจากนี้บัวบกยังมีส่วนประกอบพวกน้ำมันหอมระเหย (Essential oil) ที่มีกลิ่นแรง และมีสารที่มีรสขมชื่อ Vellarine และ Pectic acid และยังมี Ascorbic (Vitamin c) ในปริมาณ 13.8 มก./100 กรัมในส่วนของประเทศไทยได้มีการศึกษาวิจัยหลายแห่ง เช่น คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล วิจัยในด้านเภสัชวิทยา ส่วนการศึกษาวิจัยด้านคลินิกทำที่คณะแพทย์ศาสตร์รามาธิบดี และคณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล โดยพบว่า การใช้ครีมบัวบก 1 เปอร์เซ็นต์ในผู้ป่วยที่เป็นแผลเรื้อรังจากแผล กดทับแผลที่เกิดจากอุบัติเหตุ และแผลติดเชื้อ โดยใช้วันละ 1 ครั้ง พบว่าทำให้แผลหายเร็วขึ้น และทำให้การอักเสบลดลงดังนั้นถ้าผู้อ่านเกิดอุบัติเหตุและมีแผลสด หรือบาดแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก หรือมีบาดแผลที่ติดเชื้อ ก็สามารถช่วยเหลือตัวเองเบื้องต้นได้ โดยการนำบัวบกทั้งต้นและใบสด 1 กำมือ นำมาล้างให้สะอาดและนำไปตำให้ละเอียด กรองเอาแต่น้ำไปทาชโลมบริเวณที่เป็นบาดแผลให้ชุ่มอยู่เสมอในชั่วโมงแรกๆ ต่อจากนั้นทาวันละ 3-4 ครั้งจนกว่าจะหาย แต่ถ้าท่านผู้อ่านจะใช้กากพอกที่แผลด้วยก็ได้ ถ้าทำอย่างนี้แล้วบาดแผลยังไม่ดีขึ้น ขอแนะนำให้ปรึกษาแพทย์ที่อยู่ใกล้บ้าน ห้ามปล่อยทิ้งไว้นานเพราะจะเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ ส่วนการรับประทานน้ำบัวบกเพื่อใช้เป็นยาบำรุงหรือซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ก็ทำโดยวิธีเดียวกันกับที่กล่าวมาแล้วโดยข้างต้น แต่มีข้อพึงระวังไว้ว่า ไม่ควรรับประทานบัวบกนานๆ เพราะมีรายงานว่าบัวบกมีฤทธิ์ลดความดันโลหิตได้ที่มา : หนังสือชีวจิต ฉบับที่ 33 คอลัมน์สมุนไพรน่ารู้ โดย พ.ญ.ดวงรัตน์ วชาญวิทย์
24. dangerous! ถั่วงอกดิบมีโทษในผักสดบางชนิดมีสารพิษที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เช่นในถั่วงอกมีสารพิษพวกที่เรียกว่าไฟเตต ซึ่งเมื่อกินเข้าไปจะไปจับแร่ธาตุบางชนิดที่อยู่ในอาหาร ทำให้ร่างกายไม่สามารถดูดซึมแร่ธาตุเหล่านั้นเข้าร่างกาย ร่างกายจะเป็นโรคขาดแร่ธาตุ สารพิษเหล่านี้สามารถทำลายได้โดยการต้ม จึงควรรับประทานถั่วงอกสุขดีกว่าถั่วงอกดิบโทษของน้ำต้มเดือดหลายๆครั้งน้ำประปามีแร่ธาตุหลายชนิด เมื่อต้มเดือดแล้วเดือดอีกหลายๆครั้ง น้ำจำนวนมากจะระเหยกลายเป็นไอ ส่วนที่เหลือจึงมีปริมาณแร่ธาตุ ชนิดต่างๆเข้มข้นขึ้นมากและเกินมาตรฐานการบริโภคน้ำที่ต้มเดือดนานๆ ไอออนของซิลเวอร์ไนเตรทที่อยู่ในน้ำ จะเปลี่ยนเป็นซิลเวอร์ไนไตรท์ ซึ่งเป็นสารที่ให้โทษแก่ร่างกายและแร่ธาตุบางอย่างที่เป็นโทษต่อร่างกาย จะมีปริมาณเพิ่มมากขึ้นเพราะการระเหยของน้ำและอาจมากจนเกินขีดจำกัดความสามารถของร่างกายในการกำจัดขับถ่ายออกมา จึงไม่ควรดื่มน้ำที่ต้มเดือดแล้วหลายๆครั้ง
25. มะขามแขก...ยาระบายไทยมะขามแขกมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Senna alexan drina Mill. อยู่ในวงศ์ LEGUMMINOSAE มะขามแขกจัดเป็นไม้พุ่มขนาดเล็กสูงประมาณ 1-1.5 เมตร ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก ใบจะใหญ่และยาวกว่าใบมะขามเล็กน้อย โดยปลายใบจะแหลมกว่าใบมะขามขนาดกว้าง 0.7-1 เซนติเมตร ยาว 2.5-3 เซนติเมตร ดอกออกเป็นช่อสีเหลืองบานจากล่างไปบน ผลเป็นฝักแบบบานโค้งเล็กน้อยคล้ายถั่วลันเตา ฝักอ่อนจะมีสีเขียวเมื่อแก่จะมีสีน้ำตาล ภายในฝักจะมีเมล็ดรูปร่างแบนประมาณ 6-12 เม็ดส่วนที่นำมาทำเป็นยา คือ ใบและฝักแห้ง ที่สมบูรณ์เต็มที่ โดยใบจะเก็บในช่วงที่มีอายุหนึ่งเดือนครึ่งหรือก่อนออกดอก ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์พบว่า ใบและฝักมะขามแขกมีสารสำคัญ คือ แอนทราควิโนน (Anthraquinone) ซึ่งประกอบสาร Sennoside A, B, C, D และยังพบสาร emodin, rhein อีกด้วย โดยสารพวกนี้จะไปออกฤทธิ์กระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ใหญ่ ทำให้ขับถ่ายอุจจาระออกมาได้ ยาระบายมะขามแขกเหมาะสำหรับผู้สูงอายุ คนที่มีอาการท้องผูกเป็นประจำหรือผู้ป่วยที่ต้องนอนนานๆ ไม่ได้ออกกำลังกาย แต่อาจทำให้เกิดอาการปวดมวนท้องได้ ดังนั้น จึงควรรับประทานควบคู่กับยาขับลม เช่น กานพลู กระวาน หรืออบเชย โดยใช้ยาขับลมปริมาณเพียงเล็กน้อยยาระบายมะขามแขกไม่ควรใช้ในหญิงตั้งครรภ์หรือหญิงที่ให้นมลูก เพราะสารแอนทราควิโนนจะออกมาทางน้ำนมด้วยและไม่ควรใช้ในคนที่เป็นโรคลำไส้ใหญ่ส่วนล่างอักเสบ หรือโรคทางเดินอาหารอุดตัน และห้ามใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี ส่วนการวิจัยทางด้านพิษเฉียบพลัน ซึ่งทำโดยกองวิจัยทางการแพทย์ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุขพบว่า ไม่มีพิษวิธีการเตรียมยา ใช้ใบแห้ง 1-2 กำมือ (หนัก 3-10 กรัม) ต้มกับน้ำดื่ม หรือใช้วิธีบดเป็นผงชงกับน้ำดื่ม ถ้าจะใช้ฝักก็ใช้ฝักแห้ง 4-5 ฝัก ต้มกับน้ำดื่ม (ซึ่งทำให้เกิดอาการปวดมวนท้องน้อยกว่าใบ) หลังรับประทานยาไปแล้วควรจะระบายประมาณ 6-12 ชั่วโมงที่มา : หนังสือชีวจิต ฉบับที่ 44 คอลัมน์สมุนไพรน่ารู้ โดย พ.ญ.ดวงรัตน์ วชาญวิทย์
26. ไตวายเรื้อรังถ้าคุณ ดื่มเหล้าหนักถ้าคุณนอนไม่พอถ้าคุณกินเนื้อสัตว์มื้อหนึ่ง มากๆถ้าคุณชอบดื่มน้ำอัดลมมากถ้าคุณเคยปวดหลังถ้าคุณไม่เคยออกกำลังกายถ้าคุณชอบกั้นฉี่ถ้าคุณดื่มน้ำในวันหนึ่งน้อยถ้าคุณไม่ดูแลรักษาตัวถ้าคุณตัวบวม คือบวมน้ำไม่ไช่อ้วนนะถ้าคุณเป็นโรคเบาหวานสาเหตุเหล่านี้จะทำให้คุณได้พบกับภัยเงียบ ไตวายเรื้อรังไต เป็นอวัยวะมีขนาดเท่ากับ กำปั้นของเจ้าของทำหน้าที่เหมือนโรงกลองน้ำ คือกรองสิ่งสกปรก สิ่งผิดปรกติออกจากเลือดส่วนสิ่งสกปรกนั้นก็จะถูกเปลี่ยนเป็นฉี่ ถ้าคุณเคยสังเกตุ เวลากินอาหารเช่น สตอแล้วเวลาฉี่จะมีกลิ่นสตอออกมานั่นคือ ไตได้กรองเอาสารบางอย่างออกมาจากสตอแล้วเมื่อไตวายเรื้อรัง คือไตไม่สามารถใช้เป็นปรกติ ซึ่งจะทำให้การกรองของเสียของเลือดได้ไม่ดีซึ่งจะทำให้เลื่อดมีค่าของเสียมาก ซึ่งปรกติคนทั่วจะมีค่าของเสียอยู่ 1-2 เวลาเจาะเลือดจะดูได้ซึ่งไตเสีย ค่าของเสียจะมีค่ามากกว่า 2 อาจจะเป็น 5 9 13 15 ซึ่งถ้าเกิน 9 อาจจะทำให้ช็อค และเสียชีวิตได้วิธีการตรวจ ได้วิธีเดียวคือการเจาะเลือดและตรวจปัสสาวะวิธีการรักษา โดยขั้นแรก หมอจะให้ควบคุมอาหารและน้ำดื่ม ถ้าอาการคงที่ ก็รักษาในขั้นนี้ แต่ถ้าอาการหนักขึ้น ขั้นสองคือการฟอกเลือด หรือการล้างไต การฟอกเลือด คุณจะต้องไปที่โรงพยาบาลที่บริการล้างไต เครื่องล้างไต มีขนาดเท่าตู้เย็น และมีกระบอก filter คล้ายที่กรองน้ำแต่ ใช้กรองเลือดก่อนจะมาถึงขั้นตอนนี้ ต้องได้รับการผ่าตัดเล็กเพื่อการฟอกไตก่อน เสียค่าใช้จ่ายอีกประมาณ 20000-40000 บาท หมอจะใช้เข็มขนาด 2 มิล แทงเข้าไปในเส้นเลือด 2 อัน อันแรกต่อไปที่เครื่อง ส่วนอีกอันต่อกลับเข้ามาที่ตัว คือมีเข้าหนี่งเส้นออกหนึ่งเส้น ใช้เวลาการทำ ครั้งละ 4-5 ชม.คือคุณจะต้องไปนอนที่โรงพยาบาล 4-5 ชม. ค่าใช้จ่ายครั้งละ 2000-4000 แล้วแต่โรงพยาบาล 1 อาทีตย์ล้าง 2 ครั้ง ทำไปเรื่อยจนกว่าคุณจะได้ไตใหม่แล้วมีการผ่าตัดใส่เข้าในตัวคนไข้ถึงจะหายขาด การปลูกถ่ายไตใหม่ ต้องหาไตที่สมบูรณ์ และมีการ Matching ที่ดีระหว่างผู้ป่วย กับไตใหม่ที่ได้รับบริจาค ผู้ป่วยอาจต้องรับบริจาคไต จากคนในครอบครัว หรือญาติพี่น้อง หรือรอรับบริจาคทั่วไป ซึ่งใช้เวลาหลายปีโดยทั่วไป ไตที่จะปลูกถ่ายใหม่ มีโอกาสที่จะเกิดการต่อต้านโดยร่างกายผู้ป่วย ซึ่งถ้าการปลูกถ่าย ไม่ประสบความสำเร็จ ก็ต้องผ่าตัด เพื่อเอาออก และกลับไปใช้วิธีการฟอกไต ค่าผ่าตัดปลูกถ่ายไต ต้องเสียค่าใช้จ่ายประมาณ 350,000- 500,000 บาท หากการผ่าตัดประสบความเร็จด้วยดี หลังจากได้รับการปลูกถ่ายไตใหม่เรียบร้อย คุณจะต้องรับภาระค่ายาอีก 10000-20000 ต่อเดือน จะเห็นได้ว่า ทรมาร ทั้งกาย และเงิน ดังนั้นจึงควรนั่งลงให้สบายแล้วนั่งคิด ถึงร่างกายตัวเอง เราเท่านั้นที่จะทราบได้ว่า มีอะไรเกิดขึ้นกับตัวเรา จงรักษาตัวของเราไว้ให้ได้ดีที่สุด คุณจะได้มีโอกาสทำในสิ่งที่อยากทำได้นาน

วันเสาร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เที่ยวชมวัฒนธรรมมอญ ที่เกาะเกร็ด


การล่องเรือชมวิถีชีวิตชุมชนมอญเกาะเกร็ด เริ่มต้นที่ท่าน้ำวัดปรมัยยิกาวาส สัญลักษณ์ของวัดคือ พระเจดีย์มุเตา เป็นเจดีย์ทรงรามัญ ก่อนลงเรืออาจแวะชมภาพจิตรกรรมแบบตะวันตกและงานฝีมือแบบมอญ ในพิพิธภัณฑ์ของวัด เรือจะพาล่องต่อไปตามแม่น้ำอ้อมเกร็ด ซึ่งเป็นแม่น้ำเจ้าพระยาสายเดิม ด้านตะวันตกของเกาะเป็นเขตสวนผลไม้ และแปลงปลูกผักปลอดสารพิษ ไม่ควรพลาดแวะ คลองขนมหวาน หรือคลองบางบัวทอง ชมการทำขนมไทย ชิมและเลือกซื้อหาเป็นของฝาก ช่วงแม่น้ำลัดเกร็ด จะได้เห็น “บ้านมอญขวาง” ซึ่งปลูกขวางแนวแม่น้ำ เรียงรายกันอยู่ค่อนข้างหนาแน่น เมื่อขึ้นเรือที่ท่าน้ำวัดปรมัยยิกาวาส อาจเดินไปชมพิพิธภัณฑ์เครื่องปั้นดินเผามอญโบราณ บ้านกวานอาม่าน (หมู่บ้านช่างปั้น) หรือเดินต่อไป ชมโรงปั้น และเลือกซื้อหาของฝากจากแหล่งผลิต มื้อเที่ยงอย่าลืมแวะลิ้มลองอาหารมอญ โดยเฉพาะที่ทำจากหน่อกะลา เช่น ทอดมัน แกงส้ม ก๋วยเตี๋ยวหมู หากไปเที่ยวเกาะเกร็ดช่วงสงกรานต์ ก็จะได้ชิม ข้าวแช่ กะละแม และคะนอมจิน อาหารมอญโบราณวัดปรมัยยิกาวาสศิลปกรรมสำคัญในวัด ได้แก่ พระมหารามัญเจดีย์ เป็นเจดีย์ทรงรามัญ ที่ลานหลังพระอุโบสถ รัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างจำลองแบบจากพระเจดีย์มุเตา เมืองหงสาวดี พระอุโบสถ ตกแต่งด้วยวัสดุจากอิตาลี ตามศิลปะพระราชนิยมในรัชกาลนี้ ภายในยังมีภาพจิตรกรรมฝาผนัง เขียนแบบสามมิติ (perspective) แบบตะวันตก พิพิธภัณฑ์วัดปรมัยยิกาวาส จัดแสดงศิลปกรรมมอญที่หาชมได้ยาก ได้แก่ งานแกะดุนโลหะ ยอดฉัตรพระมหารามัญเจดีย์ และงานเครื่องกระดาษ เช่น เหมหรือโลงศพ สำหรับงานศพพระเถระ เชิงบันไดทางขึ้นพิพิธภัณฑ์ มีโอ่งดินเผา เป็นฝีมือช่างเกาะเกร็ด ปั้นเมื่อปี พ.ศ. 2468 พิพิธภัณฑ์ฯ เปิดเฉพาะเสาร์ – อาทิตย์ เส้นทางแนะนำล่องเรือชมวัด ชุมชนมอญเกาะเกร็ด (ใช้เวลาครึ่งวัน)นั่งเรือชมรอบเกาะ เพื่อสัมผัสความงดงามของบ้านเรือน และวัดสำคัญของชุมชนชาวมอญ รวมทั้งความร่มรื่นเขียวขจีของเรือกสวน แวะเข้าไปชมการทำขนมไทยที่คลองขนมหวาน จากนั้น ชมเส้นทางเครื่องปั้นดินเผาอันเลื่องชื่อของเกาะเกร็ด แล้วอิ่มอร่อยกับอาหารพื้นบ้านแบบมอญก่อนเดินทางกลับนั่งเรือรอบเกาะเกร็ดมีเรือข้ามฟากที่วัดสนามเหนือ ข้ามมาที่ท่าน้ำวัดปรมัยยิกาวาส หากจะนั่งเรือรอบเกาะ มีเรือหางยาว นั่งได้ประมาณ 8 คน เหมาลำลำละ 500 บาท แต่แวะคลองขนมหวาน ราคา 700 บาท เรือเล็กเช่าจากปากเกร็ด เข้าคลองขนมหวาน ราคา 150 – 200 บาท ล่องคลองบางใหญ่จากท่าน้ำนนทบุรี มีเรือท้องแบนวิ่งเส้นทางนนทบุรี - คลองอ้อม - คลองใหญ่ ตั้งแต่ 4.00 - 20.00 น. ค่าโดยสาร 6 บาท ใช้เวลา 15-20 นาที

วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

นาธาน โอมาน


ลูกครึ่งไทย-เนปาล เป็นบุตรคนกลาง ในจำนวนพี่น้อง 3 คน ของนายฮัมเซะห์ และนางอุทัยวรรค์ โอมาน มีพี่ชาย 1 คน และน้องสาว 1 คน
ชื่อ - สกุล : นาธาน โอมาน
ชื่อเล่น : ซาบิต
ชื่อในวงการ : นาธาน
วันเกิด : 14 พฤษภาคม 2519
สถานะ : โสด
ถิ่นกำเนิด : เนปาล
การศึกษา : ปริญญาตรี สถาบันราชภัฏสวนสุนันทา คณะนิเทศศาสตร์ เอกโฆษณา
งานอดิเรก : ท่องเที่ยว, อ่านหนังสือ, แต่งบ้าน, ทำงานศิลปะ
สิ่งที่ชื่นชอบ : ว่ายน้ำ, ฟิตเนส
ของสะสม : ภาพถ่าย, ซีดีเพลง
ที่อยู่ : บริษัท อาร์เอส โปรโมชั่น 419/1 อาคารเชษฐโชติศักดิ์ ลาดพร้าว 15 จตุจักร กรุงเทพฯ 10900
ผลงานเพลง : อัลบั้มชุดแรก นาธาน สังกัด อาร์เอสฯ เพลงที่รู้จัก นางฟ้ามาโปรด(2548), อัลบั้มชุดที่ 2 สิ่งที่เรียกว่าหัวใจ สังกัด อาร์เอสฯ
ผลงานเขียน : หนังสือชื่อ ผมมันเด็กหลังเขา(หิมาลัย)
ผลงานภาพยนตร์ : ร่วมแสดงภาพยนตร์ฮอลีวู้ด เรื่อง The Prince Of Red Shoe หรือ เดอะ พรินซ์ ออฟ เรด ชู หรือ เจ้าชายรองเท้าแดง ของผู้กำกับ วูล์ฟกัง ปีเตอร์เซ่น
ผลงานถ่ายแฟชั่น : Image/ Lip/ Popteen/ Omo(ญี่ปุ่น)
ผลงานโฆษณา : DTAC/ 7Eleven/ Fanta/ Nokai8310/ GSM(เวียดนาม, อินโดนีเซีย) / Clinic (อินโดนีเซีย)
นาธาน โอมาน (Nathan Oman) หรือ นายนธัญ โอมานันท์ (ชื่อเดิม ธัญญวัฒน์ หยุ่นตระกูล) เกิดวันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ.2519 ส่วนสูง 179 เซนติเมตร น้ำหนัก 66 กิโลกรัม โดย นาธาน โอมาน ยืนยันว่า ตนเองเป็นลูกครึ่งไทย (สตูล) - เนปาล เกิดและโตที่เนปาล ก่อนที่ นาธาน โอมาน จะหนีออกจากบ้านและมาอยู่ประเทศไทยเมื่อตอนอายุ 15 ปี ด้วยกระเป๋าหนึ่งใบและหัวใจกว้างๆ หนึ่งดวง โดยเริ่มเข้าเรียนต่อที่นานาชาติ ภูเก็ต ก่อนมาเข้าเรียนเพาะช่าง 2 ปี และย้ายไปศึกษาระดับปริญญาตรี ที่คณะครุศาสตร์ (เอกศิลปะ) มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ซึ่งที่เลือกเรียนคณะนี้ เพราะสมัยเด็กๆ เด็กชายนาธานชื่นชอบศิลปะมากกว่าวิชาอื่นๆ และรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ตัวเองรัก โดยหนุ่มคนนี้บอกว่าศิลปะเป็นสิ่งดีจะติดตัวเราไปทุกที่ และเขาก็รักศิลปะ พร้อมกับได้เรียนรู้ศิลปะมาตั้งแต่เด็กๆ เพราะที่เนปาลแวดล้อมไปด้วยศิลปะ โรงเรียนที่นั่นเน้นสอนวิชาทางศิลปะ โบราณคดี ภาษา มากกว่าคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ส่วนงานอดิเรก นาธาน โอมาน ชอบเล่นกีฬา ท่องเที่ยว รวมถึงสะสมภาพถ่าย ซีดีเพลง และผลงานตัวเอง แต่ถ้ามีเวลาว่างเขาจะชอบอ่านหนังสือ แต่งบ้าน ทำงานศิลปะ และถ้ามีเวลามากๆ เขาก็ไม่รอช้าที่จะแพ็คกระเป๋าเดินทางไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ทั่วโลก ที่สำคัญเขามีความสามารถพูดได้ 5 ภาษา คือ ฝรั่งเศส, เนปาล, รัสเซีย, อังกฤษ และภาษาไทย สำหรับเส้นทางในวงการมายาของ นาธาน โอมาน นั้น เริ่มด้วยการถ่ายแฟชั่นตามนิตยสาร ถ่ายโฆษณาสินค้านานาชนิด และด้วยหน้าตาที่คมเข้มจนไปสะดุดตาค่ายอาร์เอส จนชักชวนให้มาเป็นศิลปินในสังกัด มีอัลบั้มแรกสไตล์ป็อปร็อกชื่อ Nathan ตามมาด้วยอัลบั้มที่ 2 สิ่งที่เรียกว่าหัวใจ ซึ่งก็ทำให้เขากลายเป็นที่รู้จักในเวลาไม่นาน และวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ.2547 ชื่อของเขาก็ปรากฎในหน้าหนังสือพิมพ์หลายๆ ฉบับอีกครั้ง หลังจากเกิดภัยพิบัติคลื่นยักษ์สึนามิ ครอบคลุมพื้นที่ชายฝั่ง 6 จังหวัดชายฝั่งทะเลอันดามัน คือ ภูเก็ต พังงา กระบี่ ระนอง ตรัง และสตูล คร่าชีวิตนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติไปมากมาย ซึ่งในเหตุการณ์ครั้งนั้นก็มีผู้ที่รอดชีวิต และหนึ่งในนั้นก็มีชื่อของ นาธาน โอมาน รวมอยู่ด้วย ทำให้เขากลายเป็นที่รู้จักมากขึ้น หลายๆ รายการเชิญหนุ่มคนนี้ไปบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าว แต่จากนั้นชื่อของเขาก็ค่อยๆ จางหายไปจากแวดวงสื่อบันเทิง จะมีก็แต่กระแสเล็กๆ น้อยว่า เขาเปิดบริษัททำทัวร์ไปเที่ยวประเทศเนปาล และผลงานเขียนหนังสือเรื่อง ผมมันเด็กหลังเขา (หิมาลัย) และ โลกนี้ไม่เหงาแล้ว (Not A Lonely Planet) บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเขาและประเทศบ้านเกิด ฝากให้แฟนๆ อ่านให้หายคิดถึง
จนเมื่อประมาณเดือนตุลาคม พ.ศ.2551 นาธาน โอมาน ได้ออกมาประกาศว่า เขาได้เล่นหนังฮอลลีวูดเรื่อง The Prince Of Red Shoe ของบริษัทบิ๊กบลู ในเครือค่ายทเวนตี้ เซ็นจูรี ฟอกซ์ โดยมี วูลฟ์ กัง และ มูฮำหมัดซูอัต เป็นผู้กำกับ และแสดงร่วมกับดาราดังอย่าง บรูซ วิลลิส และ คริสติน่า ริชชี่ ทำให้ชื่อของเขากลับเข้ามาในสารระบบของวงการมายาอีกครั้ง แต่เมื่อเวลาผ่านไปซักระยะ ผู้คนในโลกไซเบอร์ได้ทำการสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับหนังเรื่อง The Prince Of Red Shoe แต่หนังเรื่องดังกล่าวกลับไม่พบหลักฐานใดๆ ที่บ่งบอกว่า นาธาน ไปเล่นหนังฮอลลีวูดจริงๆ จึงกลายเป็นหัวข้อถกเถียงในกระทู้เป็นวงกว้าง พร้อมๆ กับเม้าท์กัยสนุกปากว่า เขาเป็นคนลวงโลก พูดจาโกหก สร้างเรื่องขึ้นเพื่อต้องการโปรโมทตัวเอง รวมไปถึงขุดคุ้ย ประวัตินาธาน โอมาน โดยระบุว่า นาธานไม่ได้เป็นลูกครึ่งเนปาลอย่างที่กล่าวอ้าง ผนวกกับที่ดีเจสาว “เจเจ” ออกมาแฉว่าโดน นาธาน โอมาน ยักยอกเงินของร้านที่เขามีหุ้นลมรวมอยู่ด้วย ทำให้ชื่อเขากลายเป็นที่สนใจขึ้นมาอีกครั้ง แต่งานนี้ นาธาน โอมาน ก็ออกมาโต้ทันควันว่า ไม่เป็นความจริง พร้อมกับจะแจ้งความกลับอย่างแน่นอน ส่วนเรื่องที่มีคนกล่าวหาว่าเขาสร้างประวัติตัวเองมาหลอกคนอื่นนั้นก็ไม่เป็นความจริง เพราะนักร้องหนุ่มยืนยันหนักแน่นว่า เป็นลูกครึ่งไทย-เนปาล พร้อมกับระบุว่า เขามีพาสปอร์ตใช้ชื่อ นธัญ โอมานันท์ ภาษาอังกฤษใช้ NATHAN OMAN และมี 2 พาสปอร์ต คือ พาสปอร์ตไทย กับโอมาน แต่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นพาสปอร์ตไทยแล้ว เพราะว่าอยู่เมืองไทยนาน ถือสัญชาติไทย และคุณแม่เป็นคนสตูล พ่อเป็นแขกขาว เป็นคนเนปาล ส่วนกรณีที่มีกระแสกล่าวหาว่าเขาเป็นคนลวงโลกนั้น นาธาน โอมาน เปิดใจว่า ยืนยันว่าไปถ่ายจริง แต่กระบวนการของการถ่ายหนัง ไม่จำเป็นที่จะต้องมานั่งพูดหรือมานั่งตอบโต้ว่านี่คือรูปที่ถ่ายกับ บรู๊ซ วิลลิส รูปที่ถ่ายกับ คริสติน่า ริชชี่ หนังทั้งหมดนี่คือเบื้องหลัง พูดอย่างนั้นไม่ได้ เพราะที่เหลือมันเป็นพีอาร์ของบริษัท มันเป็นสิทธิของเขา เราเป็นแค่คนๆ หนึ่ง และหนังเปิดกล้องไปเมื่อประมาณเดือนธันวาคมปีที่แล้ว ส่วนชื่อเรื่องที่เขาตั้งไว้ คือ Red Shoe แต่ว่ายังไม่แน่ใจว่าจะเป็นเรื่องนี้หรือเปล่า แต่เขาตั้งชื่อไว้เป็นตัวอย่าง ส่วนสถานที่ถ่ายทำก็หลายประเทศ ทุกเมืองแขกของยูเออี มีพวกเมืองกลางทะเลทราย แทบตะวันออกกลาง อาทิ ประเทศโอมาน
"ตอนนี้ผมบอกชื่อบริษัทไม่ได้แล้วครับ บริษัทที่ทำเป็นบริษัทเอกชน เป็นบริษัทใหญ่บริษัทหนึ่ง แต่ตอนนี้เขาห้ามผมพูดทุกอย่างแล้ว ต่อไปในอนาคตค่อยว่ากันอีกที ทุกอย่างธานไม่สามารถพูดอะไรออกไปได้แล้ว เพราะพอมันเป็นอย่างนี้มันอาจจะมีผลกับหนังที่ธานถ่าย เพราะมันกลายเป็นว่าธานออกมาให้ข้อมูลอยู่ฝ่ายเดียว กลายเป็นว่าธานเอาความลับออกมาบอก ธานมีรูปอยู่กับบรู๊ซ วิลลิส แต่ว่าภาพมันคือลิขสิทธิ์ มันเป็นภาพในหนัง ถ้าธานเอามามันก็เป็นการเผยความลับหนัง" นาธาน กล่าว นาธาน โอมาน เปิดใจต่อว่า ณ ตอนนี้เขารู้สึกเสียใจมาก เพราะอยู่ในวงการมานานแล้ว แต่ก็ไม่เคยมีเรื่องเสียๆ แบบนี้เลย ไม่เคยมีปัญหาอะไรเลยในวงการบันเทิง มีแต่ข่าวช่วยเหลือสังคมมากกว่าการเป็นนักร้องเสียอีก เหตุการณ์และข่าวที่เกิดขึ้นก็รู้สึกเสียใจ และไม่อยากเชื่อว่าจะมีคนจ้องทำลายและทำให้เสียชื่อเสียงได้ขนาดนี้ แล้วเอาอะไรมาตัดสินว่าเขาผิด เอาอะไรมาตัดสินว่าเขาแย่มาก แล้วจะมีเหตุผลอะไรที่เขาต้องมานั่งโกหกทำเรื่องแบบนี้

วันอาทิตย์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

Wolfgang Amadeus Mozart


"Mozart" redirects here. For other uses, see Mozart (disambiguation).

Mozart circa 1780, by Johann Nepomuk della Croce
Wolfgang Amadeus Mozart (German: [ˈvɔlfɡaŋ amaˈdeus ˈmoːtsart], full baptismal name Johannes Chrysostomus Wolfgangus Theophilus Mozart[1] (27 January 1756 – 5 December 1791), was a prolific and influential composer of the Classical era. He composed over 600 works, many acknowledged as pinnacles of symphonic, concertante, chamber, piano, operatic, and choral music. He is among the most enduringly popular of classical composers.
Mozart showed prodigious ability from his earliest childhood in Salzburg. Already competent on keyboard and violin, he composed from the age of five and performed before European royalty; at 17 he was engaged as a court musician in Salzburg, but grew restless and traveled in search of a better position, always composing abundantly. Visiting Vienna in 1781 he was dismissed from his Salzburg position and chose to stay in the capital, where over the rest of his life he achieved fame but little financial security. His final years in Vienna yielded many of his best-known symphonies, concertos, and operas, and the Requiem. The circumstances of his early death have been much mythologized. He was survived by his wife Constanze and two sons.
Mozart always learned voraciously from others, and developed a brilliance and maturity of style that encompassed the light and graceful along with the dark and passionate—the whole informed by a vision of humanity "redeemed through art, forgiven, and reconciled with nature and the absolute".[2] His influence on all subsequent Western art music is profound. Beethoven wrote his own early compositions in the shadow of Mozart, of whom Joseph Haydn wrote that "posterity will not see such a talent again in 100 years".[3

วันพุธที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ราเกซ สักเสนา


ราเกซ สักเสนา (อังกฤษ: Rakesh Saxena) (13 กรกฎาคม พ.ศ. 2495 - ) เป็นนักการเงินการธนาคาร ชาวอินเดีย อดีตที่ปรึกษานายเกริกเกียรติ ชาลีจันทร์ อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชยการ (บีบีซี) เจ้าของฉายา "พ่อมดการเงิน"
นายราเกซ เกิดที่เมืองอินดอร์ รัฐมัธยประเทศ จบการศึกษาระดับปริญญาโท สาขาวรรณกรรม มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์[1] เดินทางเข้ามาในประเทศไทยหลังปี พ.ศ. 2520 ทำงานเป็นผู้เชี่ยวชาญทางการเงินและการลงทุน และที่ปรึกษาของหลายบริษัท [2] ได้เป็นที่ปรึกษาของธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชยการ ตั้งแต่ พ.ศ. 2535 และถูกดำเนินคดีข้อหายักยอกทรัพย์เป็นเงิน 75 ล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อ พ.ศ. 2539 หลังการล้มละลายของธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชยการ ในปี พ.ศ. 2538 และออกหมายจับ เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2539
นายราเกซ เดินทางหลบหนีออกจากประเทศไทย ไปอาศัยอยู่ที่เมืองวิสต์เลอร์ รัฐบริติชโคลัมเบีย ประเทศแคนาดา และถูกจับกุมโดยกองตำรวจม้าหลวงแห่งแคนาดา เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2539 ทางการไทยได้ประสานงานกับเจ้าหน้าที่แคนาดา เพื่อนำตัวนายราเกซเป็นผู้ร้ายข้ามแดน กลับมาดำเนินคดีในประเทศไทย แต่นายราเกซได้ให้ทนายความยื่นคัดค้าน โดยอ้างว่าถ้าถูกส่งกลับประเทศไทยอาจถูกสังหารหรือถูกขังในคุกอย่างโหดร้ายทารุณ
ศาลฎีกาแคนาดายกคำร้องคัดค้านของนายราเกซเมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2551 เป็นผลให้ทางการแคนาดาต้องส่งตัวนายราเกซ สักเสนา ให้ทางการไทยตามกระบวนการส่งผู้ร้ายข้ามแดนในที่สุด