วันเสาร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

การเดินทางของกาแฟ จากอดีตจนถึงวันนี้



ต้นกาแฟค้นพบครั้งแรกในเขตเอธิโอเปีย (Ethiopia) เนื่องจากชายเลี้ยงแพะสังเกตุเห็นแพะที่เลี้ยงอยู่มีอาการกระปรี้กระเปร่าเป็นพิเศษ หลังจากได้กินผลสีแดงคล้ายเชอรี่ของต้นไม้ชนิดหนึ่ง ชายเลี้ยงแพะจึงลองเก็บผลชนิดนั้นมาลองกินดูบ้าง ปรากฎว่าเกิดอาการเช่นเดียวกับแพะ ข่าวดังกล่าวแพร่หลายอย่างรวดเร็วจนกระทั่งทราบไปถึงผู้สอนศาสนาที่รู้ถึงความมหัศจรรย์ของผลสีแดงนี้ พระผู้สอนศาสนาจึงทดลองนำผลเชอรี่ดังกล่าวไปแช่น้ำและดื่มน้ำนั้นดู ทำให้เกิดความรู้สึกกระฉับกระเฉง เหตุนี้จึงเป็นต้นกำเนิดของการดื่มน้ำผลเชอรี่หรือผลกาแฟนั่นเอง ความนิยมของกาแฟเริ่มแพร่กระจายในอาหรับมากขึ้น กระทั่งในปี คศ1534 สุลตานแห่งอิสตันบูล นามว่า ออสโตมัส สั่งประกาศให้ เป็นสิ่งผิดกฏหมาย แต่เหมือนยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุหนึ่งปีต่อมากาแฟเป้นที่นิยมมากบขึ้นและมีร้านกาแฟเกิดขึ้น เป้นพี่พบปะของเหล่านักคิด นักปราชญ์ศิลปินรวมเหล่านักคิด ศิลปินแต่องค์กรศาสนากับมองว่าร้านกาแฟเป็นที่ซ่องซุมทำให้คนไม่สนใจศาสนา จึงประกาศว่า กาแฟเป็นเครื่องดื่มสีดำมืดของปีศาจซาตาน คนนิยมในกาแฟจึงลดลง กระทั่งยุคของสมเด็จสันปะปาคลีเมนที่ 13ได้ทดลองเครื่องดื่มดังกล่าว และประกาศว่าแท้จริงแล้วกาแฟมิได้เป็นอย่างข้อกล่าวหา กาแฟจึงกลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้งหนึ่ง
หลังจากนั้นการดื่มกาแฟเริ่มแพร่หลายไปอย่างกว้างขวาง ต่อมามีการนำผลกาแฟไปเผยแพร่แก่ชาวยุโรป ทำให้เครื่องดื่มชนิดนี้เป็นที่แพร่หลายไปทั่วยุโรปอย่างรวดเร็ว ในปี ค.ศ. 1700 เริ่มมีการนำต้นกาแฟไปปลูกแถบอเมริกาใต้ ซึ่งกลายเป็นที่นิยมปลูกกันมากในระยะเวลาต่อมา ปัจจุบันพื้นที่แถบอเมริกาใต้ปลูกกาแฟมากกว่า 19 ล้านตัน
ปัจจุบันมีหลายประเทศปลูกกาแฟ
ภูมิประเทศที่เหมาะสมสำหรับปลูกกาแฟอยู่บริเวณแนวขนานของเส้นศูนย์สูตร และบริเวณใต้เส้นศูนย์สูตร หรือประเทศเขตร้อน
ปัจจุบันมี 44 ประเทศ ที่เป็นสมาชิกขององค์การผู้ปลูกกาแฟ ได้แก่ Angola , Bolivia , Brazil , Burundi , Cameroon , Central African , Columbia , Congo , Congo Republic of , Costa Rica , Cuba , Dominican , El Salvador , Equatorial Guinea , Gabon , Ghana , Guaatemala , Guinea , Haiti , Honduras , India , Indonesia , Jamaica , Kenya , Madagascar , Malawi , Maxico , Nicaragua , Nigeria , Papua New Guinea , Paraguay , Philippines , Ruanda , Tanzania , Togo , Uganda , Venezuela , Vietnam , Zambia , Zimbabue , Thailand
ประเทศที่ปลูกและให้ผลผลิตกาแฟเป็นอันดับ 1 ได้แก่ บราซิล รองลงมา คือ โคลัมเบีย และอินโดนีเซีย ตามลำดับ
ประเทศไทย มีผลผลิตกาแฟประมาณ 80,000 – 100,000 ตัน / ปี สัดส่วนการบริโภคภายในประเทศประมาณ 30,000 ตัน และอีก 70,000 ตันส่งไปจำหน่ายยังต่างประเทศ โดยมีตลาดหลัก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา , แคนาดา , สเปน , เยอรมัน , อิตาลี , เกาหลีใต้ , ญี่ปุ่น ฯลฯ *ปีพ.ศ. 2540 ประเทศไทยสามารถส่งออกกาแฟได้จำนวน 73,286 ตัน ( *ที่มา : กรมการค้าต่างประเทศ ตัวเลขการส่งออกกาแฟตั้งแต่เดือนมกราคม – ตุลาคม 2540 )
ปัจจุบันกาแฟถือเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำให้เกิดอุตสาหกรรมหลักและมีการซื้อขาย (Trade) กาแฟในอีกหลากหลายรูปแบบ (Commodity) เป็นอันดับสองรองจากปิโตรเลียม (Petroleum)
สำหรับการเดินทางของกาแฟมายังเมืองไทยนั้น ในปี 2447 โดยนายดีหมุน ผู้นับถือศาสนา อิสลาม และนำเมล็ดกาแฟโรบัสต้า จากเมืองเมกกะวาอุอาระเบีย มาปลูกที่ตำบนโตนด อำเภอสะบ้าย้อยหัวเมือง สงขลา ส่วนสายพันธ์กาแฟอราบิก้า นั้นเข้ามาในปี2549 นำมาปลูกทางตอนเหนือของประเทศไทย

วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

Kebab


Kebab (Arabic: كباب‎, also kebap, kabab, kebob, kabob, kibob, kebhav, kephav) is a wide variety of meat dishes originating in southwest and south Asia, and now found worldwide. In English, kebab with no qualification generally refers more specifically to shish kebab or döner kebab served wrapped in bread with a salad and a dressing. But in southwest and south Asia, kebab includes grilled, roasted, and stewed dishes of large or small cuts of meat, or even ground meat; it may be served on plates, in sandwiches, or in bowls. The traditional meat for kebab is lamb, but depending on local tastes and taboos, it may now be beef, goat, chicken, pork; fish and seafood; or even vegetarian foods like tofu. Like other ethnic foods brought by immigrants and travellers, the kebab has become part of everyday cuisine in multicultural countries around the globe.

วันเสาร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ปัญหา Y2K


ในปัจจุบันระบบคอมพิวเตอร์มีบทบาทสำคัญในการนำมาใช้งานเพื่อ เพิ่มประสิทธิภาพ และประสิทธิผลในการทำงานในทุกๆด้านของโลกปัจจุบันทั้งงานของรัฐบาลบริษัทเอกชน องค์กรต่างๆ ทั่วโลก หน่วยงานต่างๆเหล่านี้กำลังเผชิญกับปัญหาจากระบบคอมพิวเตอร์ อันสืบเนื่องมาจากการมาถึงของปี ค.ศ. 2000 หรือที่ เรียกกันว่า " ปัญหาY2K " หรือ " ปัญหา MilleniumBug "ซึ่งทุกวินาที่ที่ผ่านไปในปี ค.ศ.1999นี้ล้วนมีความ หมายต่อความอยู่รอดของทุกองค์กรเป็นปัญหาทางธุรกิจและอุสาหกรรมจึงมีสื่อหลายแขนงที่ คอยให้ข้อมูลในการแก้ปัญหาY2Kสำหรับภาคอุตสาหกรรมซึ่งสำคัญมาในแต่ละประเทศก็ได้รับ ความสนใจไม่น้อยเพราะปัจจุบันเทคโนโลยีทางไมโครโพรเซสเซอร์(Microprosseser) ได้เข้าไป อยู่ในทุกโรงงานอาทิเช่น ในอุปกรณ์ควบคุมอย่าง PLC และระบบอัตโนมัติทั้งหลาย ,ระบบรักษา ความปลอดภัย ,ระบบควบคุมลิฟต์ ,ระบบควบคุมคลังสินค้า ,ระบบป้องกันเพลิงไหม้ และระบบ อิเล็กทรอนิกส์ และอื่นๆอีกมากที่ต้องได้มีการประเมินและสำรวจ ปัญหาY2K จึงน่าเป็นห่วงมากถ้าขาดความสนใจจากผู้ดำเนินธุรกิจอุตสาหกรรมเพราะความเสียหายที่ จะเกิดขึ้นหลังเที่ยงคืนวันที่ 31 ธันวาคม ค.ศ.1999 อาจร้ายแรงเกินกว่าจะรับมือได้ ซึ่งปัญหาดังกล่าวอาจ กล่าวได้ว่าเปรียบเสมือนระเบิดเวลาที่ตั้งไว้ตั้งแต่มีระบบคอมพิวเตอร์เกิดขึ้น บทความนี้จึงต้องการให้ ผู้ดำเนินธุรกิจและองค์กรต่างๆเริ่มต้นแก้ปัญหาได้ถูกต้องและรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าปัญหา Y2K แสดง ผลในปี ค.ศ. 2000

ปัญหาปี ค.ศ. 2000 (Y2K) คืออะไร

ย้อนหลังไปเมื่อคอมพิวเตอร์ได้รับการออกแบบขึ้นนั้น การเขียนโปรแกรม หรือsoftware จะมีการเก็บข้อมูลเวลาในรูปแบบ DD/MM/YY โดยที่ YY แทนปี ค.ศ. 19YY เช่น 84 แทนปี ค.ศ. 1984 เพื่อประหยัดเนื้อที่ในการจัดเก็บข้อมูล ซึ่งอาจมองว่าประหยัดแค่ 2 หลัก แต่หากมองเป็นระบบใหญ่ๆ ก็จะประหยัดได้มากเป็นการช่วยลดค่าใช้จ่ายในการทำงาน เนื่องจากในสมัยนั้นราคาของอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับระบบคอมพิวเตอร์ ทั้งหลายมีราคาสูงกว่าปัจจุบันมาก ผลที่กำลังจะเกิดขึ้นจากเหตุผลดังกล่าวของการจัดเก็บข้อมูลในรูปแบบเลขปี 2 ตำแหน่งนี้เกิดความสับสน และไม่รู้ของระบบหรือแอพพลิเคชั่นโปรแกรมที่ต้องใช้วันที่ในการคำนวณ เปรียบเทียบ จัดเรียงลำดับเมื่อการก้าวข้ามของเวลาจาก 1999 ไปสู่ 2000 แต่ระบบจะรับรู้ในรูปเลข 2 หลักคือ 99 ไปสู่ 00 โดย 00 นี้ระบบไม่รู้ว่าเป็นปี 2000 ตรงนี้เองทำให้เกิดผลลัพธ์ในการทำงานที่ผิดพลาดได้ปัญหาเทคนิคง่าย ๆ ดังกล่าวนั้นแทรกตัวอยู่อย่างซับซ้อนในการทำงานต่างๆ ที่มีเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เข้ามาเกี่ยวข้อง จึงไม่ใช่เรื่องง่ายในการประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นรวมถึงแผนในการรับมือต่างๆ ซึ่งตัวอย่างของเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่ผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายชี้ว่ามีโอกาสสูงที่จะมีปัญหาการทำงานเมื่อถึงปี ค.ศ. 2000 เช่น
แหล่งผลิตภัณฑ์งานต่าง ๆ เช่น โรงงานผลิตกระแสไฟฟ้า , โรงงานกลั่นน้ำมัน ซึ่งที่สวีเดนมีข่าวว่าได้ประกาศจะปิดโรงงานผลิตไฟฟ้าปรมาณู ชั่วคราวระหว่างปลายปี ค.ศ. 1999 ถึงต้นปี ค.ศ. 2000 เพราะได้จำลองสถานการณ์ปี ค.ศ.2000 แล้วพบว่าระบบการส่งน้ำซึ่งเป็นระบบที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับเตาปรมาณู จนมีปัญหา Y2K แล้วถ้าไม่แน่ใจว่าจะแก้ได้เต็มที่ก็ควรจะเปิดเตาดังกล่าวแล้ว
ระบบสื่อสารและโทรคมนาคม ได้แก่ ระบบสื่อสารทางโทรศัพท์เคลื่อนที่ ระบบสื่อสารข้อมูลผ่านเคเบิ้ลใต้น้ำ ระบบสื่อสารผ่านดาวเทียม รวมทั้งระบบอินเตอร์เน็ต
ระบบคมนาคม ได้แก่ ระบบควบคุมการเดินเรือ , ระบบควบคุมทางจราจรทางอากาศ , ระบบควบคุมสัญญาณไฟจราจร รวมไปถึงระบบคอมพิวเตอร์ที่ติดตั้งเพื่อโปรแกรมการทำงานในยานพาหนะต่าง ๆ ทั้งในรถยนต์ เครื่องบิน เรือเดินทะเล
ระบบการสาธารณสุข ได้แก่ อุปกรณ์การแพทย์ต่าง ๆ , เครื่องฉายรังสี , เครื่องผลิตไฟฟ้าฉุกเฉินในโรงพยาบาล , อุปกรณ์และระบบในการผลิตยา
ระบบการเงินทางธนาคาร ได้แก่ ระบบบัญชีต่าง ๆ , ตู้ ATM
ระบบการประปาและระบบระบายน้ำทิ้ง มีระบบคอมพิวเตอร์ควบคุมระบบระบายน้ำรวมไปถึงเครื่องมือวิเคราะห์น้ำ
ระบบการผลิตจัดเก็บและการจำหน่าย ได้แก่ โรงงาน , ร้านค้า , ซูเปอร์มาร์เก็ตยุคใหม่ที่มีการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ควบคุมการผลิต ,ควบคุมรายการวัสดุและสินค้าในสต๊อก ,การชำระเงินด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์
ระบบควบคุมอาคาร ได้แก่ ระบบลิฟต์ , ระบบไฟฟ้า , ระบบควบคุมกระแสไฟฟ้า , ระบบปรับอากาศ , ระบบเตือนภัย และรักษาความปลอดภัยต่าง ๆ ทั้งระบบป้องกันอัคคีภัย , ระบบสัญญาณกันขโมย
ระบบการทำงานในโรงงาน ทั้งระบบการผลิต การจัดเก็บวัสดุสินค้า , ระบบควบคุมอาคาร รวมถึงระบบและอุปกรณ์ที่ใช้ในการควบคุมการทำงานของเครื่องมือ เครื่องจักร หรือโรงงานที่เรียกกันว่าระบบแบบฝังตัว (Embedded System)

วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ปลาพลวง (พลวงหิน หรือ ปลามุง)


ปลาพลวง (พลวงหิน หรือ ปลามุง)
Soro Brook Carp
ชื่อทางวิทยาศาสตร์: Tor soro
ลักษณะทั่วไป มีขนาดลำตัวยาวด้านข้างแบน มีเกล็ดขนาดใหญ่ หัวเล็ก กระโดงหลังค่อนข้างสูง ครีบหูมีขนาดเล็ก ครีบท้องและครีบก้นมีขนาดใกล้เคียงกัน ลำตัวมีสีน้ำตาลปนเขียว ชอบอยู่รวมกันเป็นฝูง ๆ ละ 10 - 20 ตัว มีขนาดความยาวประมาณ 15 - 20 เซนติเมตร

ถิ่นอาศัย, อาหาร ชอบอยู่บริเวณน้ำตก และลำธารบนภูเขา พบทั่วไปทุกภาค ยกเว้นภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
อาหารได้แก่ แมลง พืช และผลไม้ พฤติกรรม, การสืบพันธุ์ รักสงบ ชอบอยู่รวมกันเป็นฝูง
สถานภาพปัจจุบัน
สถานที่ชม สวนสัตว์เชียงใหม่

วันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

Valentine’s Day History


Valentine’s Day History
ในวันแห่งความรัก 14 กุมภาพันธ์ (วันวาเลนไทน์) เราได้แนะนำข้อมูล เกี่ยวกับ วันวาเลนไทน์ภาษาอังกฤษ ให้เพื่อนได้รับทราบข้อมูลประวัติวันวาเลนไทน์ ภาษาอังกฤษ ซึ่ง วันวาเลนไทน์ หรือวันแห่งความรักทำไมจึงต้องเป็นวันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นคำถามที่น่าสงสัยใช่ไหม มีเกร็ดความรู้เรื่อง วันวาเลนไทน์ มาฝากติดตามชมได้เลย วาเลนไทน์ (Valentine) คือวันที่ระลึกถึง นักบุญเซนต์ วาเลนไทน์ (Saint Valentine) ผู้เปี่ยมไปด้วยความรักและความปรารถนาดี ต่อเพื่อนมนุษย์อย่างแท้จริงแต่ เขาต้องจบชีวิตลงด้วยการรับโทษประหารในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270 หรือเมื่อประมาณ 1,728 ปีล่วงเลยมาแล้ว ในจักรวรรดิโรมัน ซึ่งประวัติวาเลนไทน์ อังกฤษได้รวบรวมมาจากเพื่อนสมาชิก ดังนี้
Valentine’s Day is the annual holiday honoring lovers. It is celebrated on February 14 by the custom of sending greeting cards or gifts to express affection. The cards, known as valentines, are often designed with hearts to symbolize love. Every February, across the country, candy, flowers, and gifts are exchanged between loved ones, all in the name of St. Valentine. But who is this mysterious saint and why do we celebrate this holiday? The history of Valentine’s Day — and its patron saint — is shrouded in mystery.
The history of Valentine’s Day is obscure, and further clouded by various fanciful legends. St. Valentine’s Day, as we know it today, contains vestiges of both Christian and ancient Roman tradition. Its roots are obscured by mystery and there are varying opinions about it. Its origins have become themes of many legends.
According to legend, the holiday has its roots in the ancient Roman festival of Lupercalis/Lupercalia, a fertility celebration commemorated annually on February 15. As Christianity came to dominance in Europe, pagan holidays such as Lupercalia were frequently renamed for early Christian martyrs. In 496 AD, Pope Gelasius recast this pagan festival as a Christian feast day circa 496, declaring February 14 to be the feast day of the Roman martyr Saint Valentine, who lived in the 3rd century.
Which St. Valentine this early pope intended to honor remains a mystery. According to the Catholic Encyclopedia, there were at least three early Christian saints by that name. One was a priest in Rome, another a bishop in Terni, and of a third St. Valentine almost nothing is known except that he met his end in Africa. Rather astonishingly, all three Valentines were said to have been martyred on Feb. 14.
Most scholars believe that the St. Valentine of the holiday was a priest who attracted the disfavor of Roman emperor Claudius II around 270. The history of St. Valentine’s Day has two legends attached to it – the Protestant and the Catholic legend. According to both legends, Valentine was a bishop who held secret marriage ceremonies of soldiers in opposition to Claudius II who had prohibited marriage for young men and was executed by the latter. Although many scholars agree that Lupercalia was moved from Feb. 15th to the 14th and was Christianized by associating it with this St. Valentine character, it is still unclear just who the historical St. Valentine was. One school of thought believes that he was a Roman martyred for refusing to give up his Christian faith. According to church tradition St. Valentine was a priest/bishop of Rome in about the year 270 A.D.
At that time the Roman Emperor Claudius-II who had issued an edict forbidding marriage. This was around when the heyday of Roman empire had almost come to an end. Lack of quality administrators led to frequent civil strife. Learning declined, taxation increased, and trade slumped to a low, precarious level. And the Gauls, Slavs, Huns, Turks and Mongolians from Northern Europe and Asian increased their pressure on the empire’s boundaries. The empire was grown too large to be shielded from external aggression and internal chaos with existing forces. Thus more of capable men were required to be recruited as soldiers and officers. When Claudius became the emperor, he felt that married men were more emotionally attached to their families, and thus, will not make good soldiers. He believed it made the men weak. So to assure quality soldiers, he banned marriage.
Valentine, realized the injustice of the decree. Seeing the trauma of young lovers, he met them in a secret place, and joined them in the sacrament of matrimony. He defied Claudius and continued to perform marriages for young lovers in secret. But Claudius soon learned of this "friend of lovers," and had him arrested.
While Valentine was in prison awaiting his fate, he came in contact with his jailor, Asterius. The jailor had a blind daughter. Asterius requested him to heal his daughter. The Catholic legend has it that through the vehicle of his strong faith he miraculously restored the sight of Asterius’ daughter, a phenomenon refuted by the Protestant version which agrees otherwise with the Catholic one. Just before his execution, he asked for a pen and paper from his jailor, and signed a farewell message to her "From Your Valentine," a phrase that lived ever after. Another legend has it that Valentine, imprisoned by Claudius, fell in love with the daughter of his jailer. However, this legend is not given much importance by historians. Probably the most plausible story surrounding St. Valentine is one not focused on Eros (passionate love) but on agape (Christian love): he was martyred for refusing to renounce his religion.
The emperor, impressed with the young priest’s dignity and conviction, attempted to convert him to the Roman gods, to save him from certain execution. Valentine refused to recognize Roman Gods and even attempted to convert the emperor, knowing the consequences fully. What happened was what was to happen. All attempts to convert the emperor failed.
On February 14, 270 AD, Valentine was executed.Valentine thus become a Patron Saint, and spiritual overseer of an annual festival. The festival involved young Romans offering women they admired, and wished to court, handwritten greetings of affection on February 14. The greeting cards acquired St.Valentine’s name.
It was not until the 14th century that this Christian feast day became definitively associated with love. According to UCLA medieval scholar Henry Ansgar Kelly, author of Chaucer and the Cult of Saint Valentine, it was Chaucer who first linked St. Valentine’s Day with romance.
In 1381, Chaucer composed a poem in honor of the engagement between England’s Richard II and Anne of Bohemia. As was the poetic tradition, Chaucer associated the occasion with a feast day. In medieval France and England it was believed that birds mated on February 14, and the image of birds as the symbol of lovers began to appear in poems dedicated to the day. In Chaucer’s "The Parliament of Fowls," the royal engagement, the mating season of birds, and St. Valentine’s Day are linked:
"For this was on St. Valentine’s Day, When every fowl cometh there to choose his mate."
By the Middle Ages, Valentine was one of the most popular saints in England and France. Despite attempts by the Christian church to sanctify the holiday, the association of Valentine’s Day with romance and courtship continued through the Middle Ages. Over the centuries, the holiday evolved, and by the 18th century, gift-giving and exchanging hand-made cards on Valentine’s Day had become common in England. Hand-made valentine cards made of lace, ribbons, and featuring cupids and hearts eventually spread to the American colonies. The first commercial Valentine’s Day greeting cards produced in the U.S. were created in the 1840s by Esther A. Howlanda Mount Holyoke, a graduate and native of Worcester, Mass. Howland, known as the Mother of the Valentine, made elaborate creations with real lace, ribbons and colorful pictures known as "scrap". The tradition of Valentine’s cards did not become widespread in the United States, however, until Howland began producing them in large scale. Today, of course, the holiday has become a booming commercial success. According to the Greeting Card Association, 25% of all cards sent each year are valentines.The Valentine’s Day card spread with Christianity, and is now celebrated all over the world. One of the earliest card was sent in 1415 AD by Charles, duke of Orleans, to his wife while he was a prisoner in the Tower of London. The card is now preserved in the British Museum.
Whoever Valentine was, we know he was an actual person because archaeologists have recently unearthed a Roman catacomb and an ancient church dedicated to a Saint Valentine.

วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

น้ำตกพลิ้ว อุทยานแห่งชาติน้ำตกพริ้ว ...


.............. อุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้ว มีพื้นที่ครอบคลุมอยู่ในท้องที่อำเภอเมือง อำเภอแหลมสิงห์ อำเภอขลุง และอำเภอมะขาม จังหวัดจันทบุรี ประกอบ ด้วยป่าที่สมบูรณ์ เทือกเขาสูงสลับซับซ้อนเป็นแหล่งต้นน้ำลำธารหลายสาย และมีเอกลักษณ์ทางธรรมชาติคือ น้ำตกพลิ้วที่สวยงาม มีน้ำตกตลอดปี เป็น ที่รู้จักของประชาชนทั่วไป ซึ่งอยู่ห่างจากจังหวัดจันทบุรีประมาณ 14 กิโล เมตร ถนนลาดยางตลอดสาย ทำให้สะดวกสบายในการไปเที่ยวพักผ่อน หย่อนใจ อุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้วมีเนื้อที่ประมาณ 135.50 ตารางกิโลเมตร หรือ 84,062.50 ไร่ ประวัติความเป็นมา ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ.2502 ให้กำหนดป่าเขา สระบาปจังหวัดจันทบุรี และป่าอื่นๆในท้องที่จังหวัดต่างๆรวม 14 ป่าเป็นอุท ยานแห่งชาติ ในขั้นแรกกรมป่าไม้ได้กำหนดพื้นที่ที่ดินป่าน้ำตกพลิ้ว - เขา สระบาป ให้เป็นป่าสงวนแห่งชาติในปี พ.ศ. 2505 ออกตามพระราชบัญญัติ คุ้มครองและสงวนป่า พุทธศักราช 2481 ลงวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2504 และ ในปี พ.ศ. 2515 ได้ดำเนินการพัฒนาและปรับปรุงบริเวณน้ำตกพลิ้ว จัดตั้ง เป็นวนอุทยานน้ำตกพลิ้ว อยู่ในความควบคุมดูแลของสำนักงานป่าไม้จังหวัด จันทบุรีในคราวประชุมคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติครั้งที่ 1/2517 เมื่อวันที่ 22 มกราคม พ.ศ.2517 ได้มีมติให้รีบดำเนินการประกาศพื้นที่ป่า น้ำตกพลิ้วที่คณะรัฐมนตรี ได้มีมติเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ.2502 เป็นอุทยานแห่งชาติโดยเร็ว และจังหวัด จันทบุรีได้มีหนังสือด่วนมากที่ จบ.09/1401 ลงวันที่ 31 มกราคม พ.ศ.2517 ขอให้กรมป่าไม้ส่งเจ้าหน้าที่ไปประจำวนอุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้ว เพื่อปรับ ปรุงให้เป็นไปตามหลักวนอุทยาน ประกอบกับในปี 2517 กองอุทยานแห่งชาติ มีแผนงานจัดบริเวณดังกล่าวเป็นอุทยานแห่งชาติ ดังนั้นในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2517 กรมป่าไม้จึงมีคำสั่งที่ 360/2517 ลงวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ.2517 ให้นายสิน ไชย บูรณะเรข นักวิชาการป่าไม้ตรี และนายประชุม ตัณยะบุตร พนักงานโครง การชั้น 2 ไปทำการสำรวจหาข้อมูลบริเวณป่า น้ำตกพลิ้ว เขาสระบาป ในท้องที่ จังหวัดจันทบุรี ปรากฏว่าบริเวณดังกล่าวประกอบด้วยเทือกเขาสลับซับซ้อน เป็นต้นน้ำลำธาร เช่น น้ำตก หน้าผา ถ้ำ ตามหนังสือรายงานผลการสำรวจที่ กส.0708(อส)/7 ลงวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ.2517 กรมป่าไม้ได้นำเสนอคณะ กรรมการอุทยานแห่งชาติ มีมติในคราวประชุม ครั้งที่ 6/2517 เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ.2517 เห็นชอบให้กำหนดที่ดินบริเวณดังกล่าวเป็นอุทยานแห่ง ชาติ โดยได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินป่าน้ำตกพลิ้ว- เขาสระบาป ในท้องที่ตำบลพลับพลา ตำบลคลองนารายณ์ ตำบลคมบาง อำเภอเมือง ตำบล พลิ้ว อำเภอแหลมสิงห์ ตำบลมะขาม อำเภอมะขาม และตำบลมานใพ ตำบลวัง สรรพรส ตำบลตรอกนอง ตำบลซึ้ง ตำบลตะปอน ตำบลเกวียนหัก อำเภอขลุง จังหวัดจันทบุรี ให้เป็นอุทยานแห่งชาติในปี พ.ศ. 2518 ซึ่งประกาศในราชกิจ- จานุเบกษา เล่ม 92 ตอนที่ 87 ลงวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ.2518 นับเป็นอุทยาน แห่งชาติลำดับที่ 10 ของประเทศ โดยใช้ชื่อว่า " อุทยานแห่งชาติเขาสระบาป " ต่อมาอุทยานแห่งชาติเขาสระบาป (นายผจญ ธนมิตรามณี) ได้มีหนังสือ ที่ กษ.0708 (สบ)/พิเศษ ลงวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ.2525 ขอเปลี่ยนชื่ออุทยานแห่ง ชาติเขาสระบาปเป็น อุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้ว เนื่องจาก น้ำตกพลิ้ว เป็นน้ำตก ที่มีความสวยงามตามธรรมชาติ เป็นเอกลักษณ์และจุดเด่นของอุทยานแห่งชาติ เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยว และประชาชนโดยทั่วไปเป็นเวลานานแล้ว ซึ่ง คณะกรรมการอุทยานแห่งชาติได้มีมติในคราวประชุมครั้งที่ 3/2525 เมื่อวันที่ 29 กันยายน พ.ศ.2525 เห็นชอบให้เปลี่ยนชื่อเป็น "อุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้ว" จุดเด่นที่น่าสนใจของ น้ำตกพลิ้ว น้ำตกพลิ้ว คำว่า "พลิ้ว" กล่าวกันว่าเป็นภาษาชอง ซื่งเป็นเจ้าของถิ่น เดิมแปลว่า ทรายหรือหาดทราย เข้าใจกันว่าน้ำตกพลิ้วก็คงจะได้ชื่อมาจาก ต้นไม้ชนิดหนึ่งซึ่งชอบขึ้นในที่ดินปนทราย เป็นไม้เถา มีดอกเป็นช่อ มี ผลเล็กขนาดลูกเกด สีเหลืองอมแดงขึ้นอยู่ทั่วไปในแถบนี้ น้ำตกพลิ้วเป็น น้ำตกขนาดใหญ่และสวยงาม มีน้ำตลอดปี ปกติน้ำจะใสมากสามารถมอง เห็นพื้นล่างซึ่งส่วนใหญ่เป็นหินและทรายในระดับลึกกว่า 2 เมตร ภายใน บริเวณน้ำตกและลำคลอง มีปลาใหญ่น้อยหลายชนิดอาศัยอยู่เป็นจำนวน มาก ผู้ที่ไปท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ จะตื่นเต้นเพลิดเพลินติดตาตรึงใจ กับฝูงปลา โดยเฉพาะปลาพลวงหินเหล่านี้ น้ำตกพลิ้วเป็นแหล่งท่องเที่ยว และพักผ่อนหย่อนใจที่สำคัญของ อุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้ว ซึ่งประชาชน ชาวจังหวัดจันทบุรีและนักทัศนาจรจากจังหวัดอื่นๆ รู้จักกันดี และไปเที่ยว พักผ่อนหย่อนใจมากที่สุด สถูปพระนางเรือล่มและอลงกรณ์เจดีย์ อยู่ในบริเวณ น้ำตกพลิ้ว สร้าง ขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 (อลงกรณ์เจดีย์สร้าง พ.ศ. 2419 สถูปพระนางเรือล่ม สร้าง พ.ศ. 2424) เพื่อเป็นที่ระลึกแก่สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี ภายในสถูปพระนางเรือล่มบรรจุพระอังคารพระนางเจ้าฯ ด้วย เนื่องจาก พระองค์ท่านเคยเสด็จประพาส น้ำตกพลิ้ว เมื่อ พ.ศ. 2417 และทรงโสมนัสชื่นชมความงามธรรมชาติของ น้ำตกพลิ้ว ยิ่งนัก น้ำตกคลองนารายณ์ อยู่ที่ตำบลคลองนารายณ์ ห่างจากตัวเมืองจันทบุรี ประมาณ 6 กิโลเมตร น้ำตกอยู่ห่างจากถนนใหญ่สายจันทบุรี - ตราด ประมาณ 2 กิโลเมตร เหมาะสำหรับนักทัศนาจรที่ชอบการเดินป่าชมความงามของพฤก ษาชาติและน้ำตก น้ำตกตรอกนอง อยู่ที่ตำบลตรอกนอง อำเภอขลุง การเดินทางใช้เส้นทาง แยกเข้าน้ำตกพลิ้วไปทางตราด ถึงสี่แยกเข้าอำเภอขลุง แล้วเลี้ยวซ้ายไปตาม ถนนสายขลุง-มะขาม อีก 10 กิโลเมตร ถึงตลาดตรอกนอง แล้วเลี้ยวซ้ายเข้า ไปตามทางเข้าสู่น้ำตกตรอกนองอีก 2 กิโลเมตร ถึงบริเวณหน่วยพิทักษ์อุทยานฯ แล้วเดินเท้าขึ้นไปอีกประมาณ 2 กิโลเมตร ก็จะถึงน้ำตกชั้นล่างสุดซึ่งเรียกว่า น้ำตกไม้ชี้ ถัดไปเป็นน้ำตกกลางและชั้นบนสุดเรียกว่า น้ำตกตรอกนอง มีความ สวยงามตามธรรมชาติมาก มีน้ำไหลตลอดปี ในระหว่างการเดินทางขึ้นน้ำตก ท่านจะเพลิดเพลินกับความสวยงามของลำธาร และสภาพป่าที่ร่มรื่นและเขียว ขจีตามธรรมชาติมาก และในบริเวณนี้มีสัตว์ป่าชุกชุม ท่านจะสังเกตเห็นรอย เท้าของสัตว์ป่าที่ลงมากินน้ำตามลำธาร เช่น หมี หมูป่า ชะมด หมูหริ่ง พังพอน เก้ง ฯลฯ พร้อมทั้งสัตว์จำพวกนกก็มีอยู่เป็นจำนวนมากเช่นกัน และในบริเวณ นี้ก็ยังมีถ้ำพระเจดีย์อยู่บนไหล่เขาพระเจดีย์ ลักษณะเป็นก้อนหินใหญ่คล้าย เจดีย์ ตั้งอยู่บนไหล่เขาชาวเขาเรียกว่า "เขาพระเจดีย์" เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ ป่าหลายชนิด เช่น หมี เลียงผา ค้างคาว ฯลฯ ลักษณะภูมิประเทศ สภาพทั่วไปเป็นเทือกเขาสูง มียอดเขาสลับซับซ้อนสูงจากระดับ น้ำทะเลตั้งแต่ 300-624 เมตร ค่อยๆ ลาดลงทางทิศใต้ มีที่ราบทั่วไปบริ เวณไหล่เขา ยอดเขาสูงสุดชื่อ เขาหว้ากรอก สูงจากระดับน้ำทะเล 924 เมตร เป็นแหล่งต้นน้ำลำธารหลายสาย เช่น คลองพลิ้ว น้ำตกพลิ้ว คลองนารายณ์ คลองตรอกนอง คลองมะกอก เป็นต้น ลักษณะภูมิอากาศ สภาพอากาศระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ - เมษายน อากาศจะค่อน ข้างร้อน ระหว่างเดือนพฤษภาคม - ตุลาคม จะมีฝนตกชุกปริมาณน้ำ ฝนเฉลี่ยปีละ 3,000 มม./ปี และระหว่างเดือนพฤศจิกายน - กุมภาพันธ์ อากาศจะเย็นสบายที่สุด อุณหภูมิเฉลี่ยตลอดปีประมาณ 26 องศาเซล เซียส พันธุ์ไม้และสัตว์ป่า สภาพป่าทั่วไปเป็นป่าดงดิบชื้นที่สมบูรณ์ มีพันธุ์ไม้ที่สำคัญได้แก่ ไม้กฤษณา สำรองพนอง หรือเคี่ยม กะบก ตะเคียน ประดู่ แต้ว ตาเสือ กระท้อนป่า ไทร ตีนเป็ด ชิงชัน ตะแบก ขนุนป่า เป็นต้น สำหรับสัตว์ป่านั้นยังมีชุกชุม เนื่องจากมีแหล่งน้ำและแหล่งอาหาร ที่สมบูรณ์ สัตว์ป่าทั่วไป ได้แก่ เลียงผา หมี เสือ เก้ง เม่น ลิง ค่าง ชะนี กระรอก กระจง ลิ่น พังพอน ฯลฯ และนกที่หายาก ได้แก่ ไก่ฟ้าสีเงินจัน ทบูรณ์ และนกประจำถิ่นอีกประมาณ 90 ชนิด เช่น นกยางเขียว เหยี่ยว แดง เหยี่ยวชิครา เหยี่ยวรุ้ง เหยี่ยวนกกระจอกเล็ก นกเปล้า นกลุมพู นก เขาไฟ นกเขาเขียว นกแก้วแขก นกขุนแผนหัวแดง นกมูม นกเงือก นก โพระดก นกหกเล็กปากแดง นกอีเสือ นกหัวขวาน นกแซงแซว นกขุน ทอง นกปรอด และนกกางเขนดง เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีปลาชนิดต่าง ๆ เช่น ปลาพลวง ปลากดหิน ปลาสร้อย กุ้งแรด เป็นต้น การเดินทาง สามารถเดินทางสายกรุงเทพ - ตราด เลี้ยวซ้ายที่ทางแยกตรงหลัก กิโลเมตรที่ 347 ไปยังที่ทำการอุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้วประมาณ 2 กิ โลเมตร อุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้ว อยู่ห่างจากตัวเมืองจันทบุรี 14 กิโลเมตร และ อยู่ห่างจากตัวเมืองตราด 55 กิโลเมตร สิ่งอำนวยความสะดวก อุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้ว มีบ้านพักไว้บริการนักท่องเที่ยว จำนวน 3 หลัง และค่ายพักแรมจำนวน 2 หลัง ดังนี้ ชื่อบ้านพัก คน/ห้อง ราคา/คืน ชลธาร 8/2 600 บาท แฝดพลิ้ว 8/2 800 บาท ชมวิว 8/2 800 บาท ค่ายพักแรม 1 20/1 200 บาท ค่ายพักแรม 2 50/1 500 บาท ติดต่อขอทราบรายละเอียดและสำรองที่พักไปเที่ยว น้ำตกพลิ้ว ได้ที่ ฝ่ายบริการบ้านพัก ส่วนอำนวยการ สำนักอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ กรมป่าไม้ กรุงเทพฯ โทร. 5797223 , 5795734 หรือ โทร. 5614292-4 ต่อ 724,725 หรือติดต่อที่ อุทยานแห่งชาติโดยตรง

วันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

คุกขี้ไก่ จ. จันทบุรี


ตั้งอยู่ที่ตำบลปากน้ำแหลมสิงห์ ก่อนถึงท่าเทียบเรือ 1 กิโลเมตร สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2436 (ร.ศ. 112)เมื่อฝรั่งเศสได้เข้ายึดจันทบุรี ในกรณีพิพาทกันด้วยเรื่องดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ระหว่างนั้นกองทหารฝรั่งเศสประมาณ 600 คน แยกกันอยู่สองแห่ง แห่งแรกตั้งอยู่ที่เมืองจันทบุรี บริเวณที่เป็นค่ายทหารในปัจจุบัน อีกแห่งอยู่ที่ปากน้ำแหลมสิงห์ ฝรั่งเศสได้สร้างคุกขี้ไก่เพื่อใช้กักขังคนไทยที่ต่อต้านฝรั่งเศส มีลักษณะเป็นหอสี่เหลี่ยมจัตุรัสกว้างยาวด้านละประมาณ 4.40 เมตร สูงประมาณ 7 เมตร มีช่องระบายอากาศอยู่สองแถว หลังคาโปร่ง เล่ากันว่าเป็นคุกที่ทรมานมาก เพราะชั้นบนใช้เป็นที่เลี้ยงไก่ ซึ่งจะถ่ายมูลราดศีรษะนักโทษที่ถูกคุมขังตลอดเวลา

การเดินทาง คุกขี้ไก่ห่างจากอำเภอเมืองประมาณ 30 กิโลเมตร ใช้ทางหลวงหมายเลข 3 (จันทบุรี-ตราด) เลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 3149 ก่อนถึงอำเภอแหลมสิงห์ตั้งอยู่ทางด้านขวามือ

วันเสาร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud)


ชีวประวัติ ซิกมุนด์ ซาโลมอน ฟรอยด์ เกิด ณ เมืองไฟรเบิร์ก (Freiberg) รัฐโมราเวีย (Moravia) ประเทศเยอรมนี เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม ค.ศ.1856 เวลา 18.30 น. เป็นชาวยิว มีพี่น้องทั้งหมด 7 คน บิดาชื่อจาคอบ คาลลามอน ฟรอยด์ (1815-1896) เป็นพ่อค้าเสื้อผ้าขนสัตว์ ย้อมสีและส่งขายที่เมืองกาลิเซีย และซื้อสินค้าจากกาลิเซียกลับมาขายที่ไฟรเบิร์ก มีฐานะปานกลาง ฟรอยด์เป็นลูกคนหัวปีของจาคอบกับภรรยาคนที่สาม อมาลี ฟรอยด์ (ภรรยาคนแรกและคนที่สองชื่อ แซลลี แคนเนอร์ และรีเบคก้า ตามลำดับ ทั้งสองเสียชีวิตก่อนที่จาคอบจะแต่งงานกับอมาลี) เมื่ออายุ 4 ขวบบิดาย้ายครอบครัวไปอยู่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย เขาเข้าเรียนจบวิทยาศาสตร์บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยเวียนนาเมื่อ ค.ศ. 1873 วิทยฐานะนี้ประกอบอาชีพมีรายได้ไม่พอเลี้ยงครอบครัว จึงไปศึกษาแพทย์ศาสตร์ต่อหลังจากที่ได้ฟังคาร์ล บรูเอล (Carl Bruhl) อ่านความเรียงของเกอเต้เกี่ยวกับธรรมชาติ ซึ่งทำให้ฟรอยด์เกิดความซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก ประกอบกับฟรอยด์มีความนิยมชมชอบชาร์ลส์ ดาร์วิน (1809 - 1882) อยู่แล้ว ทำให้ฟรอยด์ตัดสินใจกลับเปลี่ยนมาเรียนแพทย์แทนกฎหมายในทันที ระหว่างเรียนฟรอยด์ได้เสนอวิจัยวิทยาศาสตร์เชิงชีววิทยาสองชิ้นในปี 1875 และ 1876 งานวิจัยทั้งสองชิ้นได้รับรางวัลจากกระทรวงศึกษาธิการแต่ฟรอยด์กลับคิดว่างานวิจัยทั้งสองยังไม่ดีพอ ฟรอยด์จึงเบนเข็มไปยังสถาบันสรีรศาสตร์ ที่มี เอิร์นสต์ วิลเฮล์ม วอน บรักเก้ (Ernst Wilhelm Von Brucke) เป็นผู้อำนวยการ ซึ่งเป็นหนึ่งในบุคคลที่ฟรอยด์เอ่ยปากว่าเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลต่อความคิดของเขาเป็นอย่างมาก ฟรอยด์ใช้เวลาหลายปีศึกษาอยู่ที่สถาบันสรีรศาสตร์ก่อนจะหยุดพักไปเป็นทหารในกองทัพออสเตรีย-ฮังการี อยู่ 1 ปี และกลับมาสอบรับปริญญาแพทย์เมื่อปี 1881 ช่วงปี 1885 ฟรอยด์ได้รับทุนจากโรงเรียนแพทย์ในฐานะผู้บรรยายวิชาประสาทวิทยาไปดูงานที่ปารีส โดยไปดูงานที่โณงพยาบาลซาลเปตริแอร์ (Salpetriere) ในช่วงเดือนตุลาคม 1885 ถึงกุมภาพันธ์ 1886 โดยอยู่ในความดูแลของซอง มาร์แตร์ ชาร์โกต์ (Jean-Martin Charcot) ซึ่งเชี่ยวชาญในการรักษาฮิสทีเรียด้วยวิธีสะกดจิต และส่งผลให้ฟรอยด์เกิดความสนใจทางด้านสะกดจิต ก่อนที่ฟรอยด์จะได้เข้ารับการศึกษาทางด้านสะกดจิตเพิ่มเติมในโรงเรียนแนนซี่ (Nancy Shcool) ที่มีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่ง ต่อมาฟรอยด์ได้มีโอกาสร่วมงานกับ โจเซฟ บรูเออร์ (Josef Breuer : 1842 - 1925) ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทที่คบหากันมานาน บรูเออร์ได้รักษาผู้ป่วยรายหนึ่งในนามแฝงว่า “แอนนา - โอ” นามจริงคือ เบอร์ธา พาพ์เพ็นไฮม์ ทั้งคู่มีข้อสมมติว่าการเจ็บป่วยของแอนนา – โอ มาจากปัญหาเรื่องเซ็กส์ของเธอเอง อันมาจากการต้องคอยดูแลพยาบาลบิดาที่ป่วยหนัก หลังจากที่บิดาเสียชีวิตลง เธอก็เริ่มมีอาการอัมพาตที่แขนและขา มีการมองเห็น การพูดที่ผิดแปลกไป (jargon) บุคลิกภาพแตกออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งรู้ตัวเป็นปกติ มีอารมณ์เศร้าโศก แต่อีกส่วนไม่รู้ตัว วุ่นวาย และมีประสาทหลอนทางตา ฟรอยด์ได้มีโอกาสร่วมสังเกตอาการเจ็บป่วยของแอนนา – โอ นานพอควรและได้พบกับสิ่งสำคัญโดยบังเอิญ กล่าวคือ เมื่อแอนนา – โอ ถูกสะกดจิตเธอจะย้อนทวนความจำในรายละเอียดของสถานการณ์ อันเป็นต้นเหตุของอาการโรคและเสริมให้อาการโรคกำเริบและแสดงให้เห็นอารมณ์ที่เก็บกดไว้ เมื่อระบายอารมณ์เก็บกดนั้นออกไป อาการฮิสทีเรียก็หายไป บรูเออร์และฟรอยด์รักษาแอนนา – โอ ด้วยการสะกดจิตอยู่นานประมาณ 2 ปี และเธอก็ดีขึ้น ฟรอยด์ได้อ่านรายงานผู้ป่วยอันละเอียดลออที่บรูเออร์ทำและใช้วิธีคาธาร์ซิส (Catharsis) ตามที่บรูเออร์บอกกับผู้ป่วยรายอื่นๆและเขียนเป็นรายงานชื่อว่า “การศึกษาฮิสทีเรีย” (Studies on Hysteria) และว่ากันว่าเป็นงานที่จุดประกายต่อวิชาจิตวิเคราะห์ (Psychoanalysis) เลยทีเดียว จากนั้น ฟรอยด์ก็ได้ติดต่อกับวิลเฮล์ม ไฟลส์ (Wilhelm Fliess) ทางจดหมายและได้ปรึกษาหารือกันเป็นประจำ โดยมีคำใหม่ๆแปลกๆอย่างการเก็บกด (repression) การใส่โทษผู้อื่น (projection) หรือการเสแสร้งแต่งจิต (reaction formation) ซึ่งไฟลส์ไม่เข้าใจ และค่อยๆกลายความแน่นแฟ้นลงเรื่อยๆ สาระสำคัญในจดหมายเหล่านั้นคือสาระหลักที่เป็นจุดเริ่มต้นของจิตวิเคราะห์ (The Origin of Psycho-Analysis) ฟรอยด์ประสบปัญหาเมื่อแนวคิดในการใช้การสะกดจิตแบบชาร์โกต์และจิตบำบัดแบบฟรอยด์ (Freudian Psychotherapy) ไม่เป็นที่ยอมรับจากสมาคมแพทย์แห่งเวียนนา ขณะประสบปัญหานี้ฟรอยด์ได้พบกับความคิดอย่างใหม่ คือ ปมอิดิปัส (The Oedipus Complex) และยิ่งทำให้ฟรอยด์ถูกต่อต้านมากยิ่งขึ้นเพราะมีเนื้อหาที่หมิ่นเหม่ศีลธรรมและยากเกินความเข้าใจ ช่วงปี 1889 ฟรอยด์ค้นพบทฤษฎีและวิธีแปลความฝัน (The Interpretation of Dream) โดยเกี่ยวข้องกับจิตใต้สำนึก (Unconscious) และทฤษฎีจิตวิเคราะห์ ด้วยความที่ฟรอยด์มีแนวทางในการสำรวจจิตใต้สำนึกของตนเองก่อนถึงจะเอาไปใช้ทำความเข้าใจจิตใต้สำนึกของผู้ป่วยด้วยวิธีการที่หลากหลาย ตั้งแต่เทคนิคคาธาร์ซิสของบรูเออร์, การสะกดจิตผู้ป่วยแบบชาร์โกต์ จนในที่สุดฟรอยด์ก็ได้พัฒนาเป็นวิธีใหม่ที่เรียกว่า “วิธีการเชื่อมโยงอย่างอิสระ” (Free Association) จนนำไปสู่การวิเคราะห์ตนเอง (Self Analysis) ในที่สุด ฟรอยด์ได้ก่อตั้งชมรมวันพุธ โดยมีผู้มีชื่อเสียงหลายคนเข้าเป็นสมาชิกและได้กลายเป็นสมาคมจิตวิเคราะห์ในที่สุด รวมถึง คาร์ล กุสตาฟ จุง (Carl Gustav Jung : 1875 - 1961) ซึ่งได้กลายมาเป็นศิษย์ที่สนิทกับฟรอยด์มากที่สุด ต่อมาเกิดความขัดแย้งกันระหว่างฟรอยด์กับจุง โดยที่ฟรอยด์มีความคิดไปในทางวิทยาศาสตร์อย่างเคร่งครัด แต่จุงกลับมีความคิดไปในทางศาสนา คาถาอาคมและไสยศาสตร์ลึกลับ จึงทำให้จุงแยกตัวจากฟรอยด์ออกมาตั้งสำนักของตนเองชื่อว่า อนาไลติก ไซโคโลยี่ (Analytic Psychology) หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้เริ่มขึ้น ฟรอยด์อาศัยข้อมูลจากสังคมและสงครามมาใช้เป็นข้อมูลในการทำงาน จนเมื่อปี 1915 ฟรอยด์ได้ตีพิมพ์รายงานวิชาการชื่อ metapsychology รวมทั้งงานชื่อ The Moses of Michael Angelo (1913) และ Totem and Taboo (1914) ด้วย ฟรอยด์ได้กล่าวถึงสัญชาติญาณแห่งความตาย (Death Instinct : Thanatos) และสัญชาติญาณของการมีชีวิต (Life Instinct : Eros) ไว้ในงานที่มีชื่อว่า Beyond the Pleasure Principle (1920) โดยมีเนื้อหาหลักที่ว่ามนุษย์มีศักยภาพแห่งการทำลายล้างในตนเอง และในปีถัดมาก็ตีพิมพ์งานอีกชิ้น คือ Group Psychology and the Analysis of the Ego (1921) ต่อมาในปี 1923 ฟรอยด์ได้เสนอสาระอันใหม่เอี่ยมต่อวงการวิชาแพทย์และจิตวิทยาในสมัยนั้นด้วยแนวคิดโครงสร้างของจิตใจในแบบของฟรอยด์ในงานเขียนชื่อ The Ego and the Id ซึ่งอธิบายว่าโครงสร้างทางจิตของมนุษย์นั้นแบ่งได้เป็นสามส่วน ได้แก่ Id Ego และ Super Ego การทำงานที่กลมกลืนหรือขัดแย้งกันของโครงสร้างทั้งสามนี้ถือว่าเป็นจุดเริ่มของพฤติกรรมต่างๆของมนุษย์ ปี 1938 กองทัพนาซียกกองกำลังเข้ามาในเวียนนา ทำให้มารี โบนาปาร์ต (Marie Bonaparte) เจ้าหญิงกรีซ และเออร์เนส โจนส์ แร่งรัดให้ฟรอยด์หนีภัยสงคราม และในที่สุดฟรอยด์ก็ได้ตัดสินใจอพยพหนีสงครามไปลอนดอน ประเทศอังกฤษ ฟรอยด์เสียชีวิตในวันที่ 23 กันยายน 1939 ณ บ้านเลขที่ 20 มาเรสฟิลด์ การ์เด้น นครลอนดอนนั่นเอง

วันอังคารที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

กีวีผลไม้เพื่อสุขภาพ


กีวีกีวีไม้ผลประเภทเลื้อยเถาในเขตหนาวที่สำคัญชนิดหนึ่งของโลก มีถิ่นกำเนิดทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีน ในปี พ.ศ.2407 เมื่อร้อยกว่าปีมาแล้ว มิสชันนารีชาวนิวซีแลนด์คณะหนึ่งเดินทางกลับมาจากประเทศจีน และได้นำ ผลไม้ชนิดหนึ่งที่เรียกกันว่า "ไชนิส กูสเบอร์รี" (Chinese gooseberries) ไปปลูกลงบนผืนดินของนิวซีแลนด์ ด้วยสภาพดินที่อุดมสมบูรณ์ และอากาศที่เอื้ออำนวยต่อการปลูกพืช ผลไม้ชนิดนี้จึงมีรสชาติดีขึ้น พ.ศ.2502 พวกเขาจึงได้ตั้งชื่อ "กีวี่ฟรุต" (Kiwifruit) เป็นชื่อใหม่ของผลไม้ชนิดนี้ ตามชื่อนกกีวีที่เป็นนกสัญลักษณ์ของประเทศ ปัจจุบัน นิวซีแลนด์พัฒนาคุณภาพกีวีจนเป็นที่ต้องการของตลาดโลก สามารถส่งออกกีวีไปยังผู้บริโภคใน 70 ประเทศ เฉพาะยุโรปทวีปเดียวก็ทำสถิติขายได้ปีละ 1.5 ล้านล้านผล รวมทั้งส่งกีวีมาจำหน่ายยังประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และไทยสำหรับประเทศไทยโครงการหลวงได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ นำพันธุ์กีวีฟรุตจากประเทศนิวซีแลนด์เข้ามาปลูกครั้งแรกในปี พ.ศ.2519 ที่สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง และพบว่ากีวีฟรุตบางพันธุ์สามารถออกดอกและติดผลได้ดี มีโอกาสที่จะพัฒนาให้เป็นไม้ผลเศรษฐกิจบนพื้นที่สูงได้ กีวีฟรุตจึงนับว่าเป็นไม้ผลที่มีศักยภาพดีชนิดหนึ่งในอนาคตActinidia deliciosa เป็นกีวีฟรุตที่ปลูกเป็นการค้ามากที่สุดของโลก ลักษณะโดยทั่วไปผลมีขนาดใหญ่ น้ำหนักผลประมาณ 100-150 กรัม ผิวผลสีน้ำตาล มีขน เนื้อผลสีเขียว มีปริมาณวิตามินซี 100-200 มิลลิกรัมต่อเนื้อผล 100 กรัม พันธุ์ที่เป็นการค้าที่สำคัญของโลกได้แก่ พันธุ์ Hayward สำหรับพันธุ์ที่ปลูกได้ค่อนข้างดีในประเทศไทย คือ พันธุ์ BrunoA. chinensis เป็นกีวีฟรุตชนิดที่เริ่มมีความนิยมที่ปลูกเป็นการค้าใหม่ๆ ขึ้นมามาก พันธุ์ที่เป็นการค้าที่สำคัญของโลกได้แก่ พันธุ์ Hort16A ของนิวซีแลนด์ กีวีฟรุตชนิดนี้ต้องการความหนาวเย็นมากสั้นกว่า A. deliciosa จึงเป็นชนิดที่มีศัยกภาพในการปลูกเป็นการค้าในประเทศไทย เช่น พันธุ์ Yellow joy จากประเทศญี่ปุ่น และพันธุ์ลูกผสมต่างๆ จากโครงการศึกษาและคัดเลือกพันธุ์กีวีฟรุตของโครงการหลวง ส่วนใหญ่กีวีฟรุตเนื้อผลมีสีเหลืองผลมีขนาดใหญ่ น้ำหนักผลประมาณ 100-150 กรัม ผิวผลสีน้ำตาล มีขนค่อนข้างสั้น มีปริมาณวิตามินซี ประมาณ 100-200 มิลิลกรัมต่อเนื้อผล 100 กรัม A. arguta มีชื่อเรียกว่า Baby Kiwi, Wee-kis หรือ Grape Kiwi เป็นกีวีฟรุตที่มีการปลูกเป็นการค้าแต่ยังไม่มากนัก ลักษณะโดยทั่วไปผลขนาดเล็ก น้ำหนักผลประมาณ 6-14 กรัม ผิวผลเรียบไม่มีขน รับประทานได้ทั้งเปลือก รสชาติหวาน มีกลิ่นหอมมีปริมาณวิตามินซี ประมาณ 70-100 มิลลิกรัมต่อเนื้อผล 100 กรัม พันธุ์ที่เป็นการค้าที่สำคัญของโลกได้แก่ พันธุ์ Ananasnaya สำหรับประเทศไทยมีหลายพันธุ์ที่นำมาจากประเทศญี่ปุ่นมีแนวโน้มว่าศักยภาพดีกีวีได้ผ่านการวิจัยแล้วว่าเป็นผลไม้ที่มี วิตามินซี และวิตามินอีในสัดส่วนสูง ซึ่งวิตามินทั้งสองชนิดนี้เป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ (ตัวต้านออกซิแดนท์) ที่ทรงประสิทธิภาพมากมีประโยชน์สำหรับคนทุกเพศทุกวัยกีวี 100 กรัม ให้วิตามินซีสูงถึง 167% ของ RDA (Recommended Daily Allowance) ให้วิตามินซีมากกว่าการบริโภคแอปเปิล ส้ม กล้วย แครนเบอร์รี องุ่น ลูกแพร์ ทับทิม ในปริมาณที่เท่ากันวิตามินอีในกีวีเป็นวิตามินอีที่อยู่ในแหล่งอาหารที่ปราศจากไขมัน จึงช่วยลดคอเลสเตอรอลในเส้นเลือดได้ในตัว ซึ่งหมายถึงการลดความเสี่ยงของการเป็นโรคหัวใจด้วย โพแทสเซียม (331 มิลลิกรัม/กีวี 100 กรัม) ภาวะความดันโลหิตสูงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดหัวใจวาย โพแทสเซียมช่วยลดภาวะความดันโลหิตสูงได้ ผู้มีอายุต้องการโพแทสเซียมช่วยซ่อมแซมกล้ามเนื้อและเส้นใยประสาท กล้วยหอมเป็นผลไม้ที่มีโพแทสเซียมสูง แต่กล้วยหอม 100 กรัม ให้พลังงานสูงกว่ากีวีถึง 2 เท่า สำหรับคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำคงเผาผลาญพลังงานไปได้ แต่สำหรับคนที่ขาดการออกกำลังกาย พลังงานส่วนเกินที่ได้รับมีผลต่อน้ำหนักตัวที่จะเพิ่มขึ้นไฟเบอร์ (3.4 กรัม/กีวี 100 กรัม) ผลการศึกษากลุ่มตัวอย่างสุขภาพดีอายุ 60 ปีขึ้นไป จำนวน 38 ราย กลุ่มหนึ่งรับประทานอาหารตามปกติ อีกกลุ่มรับประทานอาหารตามปกติเช่นกันและกินกีวีด้วยอัตรากีวี 1 ผล/น้ำหนักตัว 30 กิโลกรัม เป็นเวลา 3 สัปดาห์ พบว่ากลุ่มที่กินกีวีด้วยนั้นขับถ่ายสะดวกและสม่ำเสมอกว่ากลุ่มที่รับประทานอาหารตามปกติอย่างเดียว ผลไม้ชนิดอื่นๆ ที่ให้เส้นใยอาหาร (Fibre หน่วยกรัม/100 กรัม) เช่น ลูกแพร์ 2.2, แอปเปิล 1.8, ส้ม 1.7, กีวีสีทอง 1.4, กล้วยหอม 1.1, กรัม, องุ่น 0.7โฟลเลต คือแร่ธาตุสำคัญที่ช่วยในการแบ่งตัวของเซลล์ใหม่ (หมายถึงโครงสร้างร่างกายทั้งหมด) เช่น การสร้างอวัยวะทารกในครรภ์ การสร้างเม็ดเลือด การสร้างสารพันธุกรรมในร่างกาย คุณแม่ตั้งครรภ์ที่ขาดโฟลเลตมีความเสี่ยงที่ทารกจะมีความพิการทางสมองและระบบประสาท กีวี 1 ผล ขนาด 76 กรัม มีโฟลเลต 19 ไมโครกรัม หรือ 5% ที่ร่างกายควรได้รับในแต่ละวัน (RDA)แมกนีเซียม (30 มิลลิกรัม/กีวี 100 กรัม) ร่างกายจะดูดซึมแคลเซียมไปใช้สร้างเสริมความแข็งแรงของกระดูกและฟันได้ต้องอาศัยการทำงานร่วมกันของแมกนีเซียม กระดูกที่แข็งแรงช่วยให้ร่างกายทำกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตได้คล่องตัวขึ้น และมีความสุขกับชีวิตได้เต็มที่ แมกนีเซียมที่มีในผลไม้ชนิดอื่น (หน่วยมิลลิกรัม/100 กรัม) เช่น กล้วยหอม 34, กีวีสีทอง 14.5, ส้ม 10, องุ่นและลูกแพร์ 7, ส้ม 5ซิงก์ แร่ธาตุชนิดนี้มีความสำคัญสำหรับเด็กหนุ่มและผู้ชายทุกคน เพราะเป็นแร่ธาตุที่ใช้สร้างฮอร์โมนเพศชาย (เทสโตสเตอโรน)จากผลการศึกษาในนิวซีแลนด์และยุโรปพบว่า การรับประทานกีวี 2 ผล/วัน จะช่วยลดภาวะที่เซลล์จะถูกทำลายโดยอนุมูลอิสระ และยังช่วยซ่อมแซมดีเอ็นเอที่ถูกทำลายจากกระบวนเผาผลาญอาหารของร่างกายได้อีกด้วย รวมทั้งสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานภูมิคุ้มกันของร่างกายนักวิจัยในสหรัฐอเมริกายังพบประโยชน์อีกว่า เมื่อกินกีวีพร้อมหรือกินหลังอาหาร - โดยเฉพาะหากอาหารมื้อนั้นเป็นอาหารที่มีไขมันมาก - แร่ธาตุในกีวีจะช่วยลดสภาวะที่ร่างกายมีอนุมูลอิสระมากจนสารต้านอนุมูลอิสระมีไม่เพียงพอได้ด้วย