วันเสาร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2553

Sunthorn Phu


A commoner, Sunthorn Phu broke from tradition by writing in more ordinary language and about less-elevated topics than previous writers.
He was born during the king I of Ratanakosin Era. On the 26th of June, in 1786 he was behind the palace where the Bangkok - noi train station was located. His father was from Rayong province. His mother was from another province. Sunthorn Phu was born after Bangkok city was established. His father and his mother divorced, and then his father became a monk at Bangrum temple. where he was originally from and his mother went to serve princess as a wet nurse. Sunthorn Phu had an opportunity to work in the palace with his mother. Sunthorn Phu felt in love with a lady in the palace. Her name was Jun who was related to the Royal family. They were punished and arrested because their relationship violated the traditional social order. When the king died they were pardoned. Following the pardon, Sunthorn Phu went to visit his father who lived in Rayong province. While he was returning to Rayong he wrote a poem called “Nirat Muang Grang " which became one of his most famous poems . The poem described his journey with great detail. He wrote the poem for his fiancé, Jun. After he returned to the palace in Bangkok he married Jun and they had a son named "Pat" and appointed court poet, before becoming an alcoholic, being left by his wife, and, around 1821, being jailed after a fight. The couple was not married long. After Sunthorn Phu's love affair with another woman, the couple divorced and went their separate ways. This was the first of many marriages ending in divorce. The wife whom he loves the most was Jun.
During Rama II era, the king was very pleased with Sunthorn Phu. The king was so pleased with Sunthorn Phu, in fact, that he was promoted to be Khun Sunthorn Voharn. In King Rama III monanchy, Sunthorn Phu made one detrimental mistake by correcting the king's poem in the presence of the king and King's officers. Sunthorn Phu was stripped of his farmer title as punishment. He entered the Buddhist priesthood but eventually left the priesthood to become a merchant. King Rama IV's princess read his poems called “Phra Apai Manee ". She was very pleased and she asked him to finish the poem. The King Rama IV promoted him to Phra Sunthorn Voharn. He spent the rest of life at peace until he died in 1855. He left behind a legacy of poems that have become famous over time because they describe Thai history. Thai people now study his poems to learn about the history of their country. His poetic works were honored by UNESCO.
He began the epic poem, Phra Aphai Mani in prison, and published it in installments over the next 20 years. The epic tale follows the title character, Prince Aphai Mani, a Byronic hero, in his romantic adventures throughout ancient Thailand.
Sunthorn's nine Nirats, which record his associations between memories and sites he visited, are also popular.
He was out of favor during the reign of Rama III (1824–1851), whose writings he had once criticized. At one point he was driven by poverty to become a monk.

วันพุธที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2553

Princess Diana


Death of Diana, Princess of Wales
On 31 August 1997, Diana, Princess of Wales died as a result of injuries sustained in a car accident in the Pont de l'Alma road tunnel in Paris, France. Her companion, Dodi Fayed and driver, Henri Paul, were also pronounced dead at the scene of the accident. Fayed's bodyguard, Trevor Rees-Jones, was the only survivor. An eighteen-month French judicial investigation concluded in 1999 that the car crash that killed Diana was caused by Paul, who lost control of the car at high speed while intoxicated and under the influence of antidepressants.Since February 1998, Dodi's father, Mohamed Al-Fayed (the owner of the Hôtel Ritz, for which Paul worked) has claimed that the crash was a result of a conspiracy, and later contended that the crash was orchestrated by MI6 on the instructions of Prince Philip, Duke of Edinburgh. His claims that the crash was a result of a conspiracy were dismissed by a French judicial investigation, and Operation Paget, a Metropolitan police inquiry that concluded in 2006.An inquest headed by Lord Justice Scott Baker into the deaths of Diana and Dodi began at the Royal Courts of Justice, London on 2 October 2007 and was a continuation of the original inquest that began in 2004. A jury decided on 7 April 2008 that Diana had been unlawfully killed by the grossly negligent driving of chauffeur Henri Paul and paparazzi photographers.


ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ (Diana, Princess of Wales) หรือพระนามเต็มคือ ไดอานา ฟรานเซส - สกุลเดิม สเปนเซอร์ (Diana Frances , née The Lady Diana Spencer) (ประสูติ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2504 ที่เมืองแซนดริงแฮม ประเทศอังกฤษ — สิ้นพระชนม์ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2540 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส) เป็นพระชายาพระองค์แรกของเจ้าฟ้าชายชาลส์ แห่งเวลส์ จากการอภิเษกสมรสเมื่อปี พ.ศ. 2524 และได้ทรงหย่าขาดเมื่อปี พ.ศ. 2539 พระองค์ทรงดำรงพระอิสริยยศ เจ้าหญิงแห่งเวลส์ เป็นพระองค์ที่ 9 ของอังกฤษ สื่อมวลชนและประชาชนทั่วไปนิยมขนานพระนามว่า "เจ้าหญิงไดอานา" ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วพระนามนี้ถือว่าผิดในทางทฤษฎีนับตั้งแต่ทรงหมั้นกับเจ้าชายแห่งเวลส์ในปี พ.ศ. 2524 จนกระทั่งการสิ้นพระชนม์จากอุบัติเหตุรถยนต์ ในปี พ.ศ. 2540 ไดอานาเป็นผู้หญิงสำคัญคนหนึ่งของโลก ไม่ว่าจะความสนพระทัย การฉลองพระองค์ รวมถึงพระกรณียกิจของพระองค์ได้รับความสนใจจากทั่วทุกมุมโลก พระองค์ทรงเป็นผู้นำแฟชั่น เป็นสัญลักษณ์แห่งความงาม ความหวังของผู้ป่วยโรคเอดส์ และทูตสันถวไมตรีที่เชื่อมทุกความขัดแย้ง แต่เหนือกว่าสิ่งอื่นใดคือพระองค์ทรงเป็นพระราชินีในดวงใจของประชาชนอีกด้วย ตลอดทั้งพระชนม์ชีพพระองค์เป็นผู้ที่ถูกถ่ายรูปมากที่สุดคนหนึ่งในโลกราวกับนักแสดงที่มีชื่อเสียงรากเหง้าเลดี้ไดอาน่า เกิดมาในตระกูลสเปนเซอร์ บิดาของเลดี้ไดอาน่าสืบเชื้อสายมาจากเหล่าลูกนอกสมรสของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 ดังนี้1.เฮนรี ฟิตซ์รอย เกิดจาก บาร์บารา2.ชาร์ลส์ เลนน็อกซ์เกิดจากหลุยส์3.ชาร์ลส์ เบ็นเคล็คเกิดจาก เนล เกว็นลูกสาวโสเภณี4.เจมส์ คอตส์-สก็อต ลูกชายของลักกี้ เวลเตอร์ผู้นำกบฎในสมัยพระเจ้าเจมส์ที่ 2วัยเด็กไดอานาประสูติเมื่อวันเสาร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2504 เวลาประมาณ 18.39 น. ทรงเป็นธิดาคนสุดท้องของวิสเคานท์และวิสเคานท์เตสอัลทอป ไดอานาทรงรับศีลล้างบาปที่โบสถ์เซนต์แมรี่แม็กดาลีน พระองค์ทรงมีพี่น้อง 5 คนดังนี้1.อลิซาเบธ ซาราห์ ลาวินา สเปนเซอร์ (เลดี้ซาราห์ แม็กคอเดล ปัจจุบันเป็นประธานมูลนิธิไดอานา ตามพระประสงค์ของเจ้าหญิง)2.ซินเธีย เจน สเปนเซอร์ (เลดี้เจน เฟเลอว์ ปัจจุบันคือ บารอนเนสเฟเลอว์)3.ไดอานา ฟรานเซส สเปนเซอร์ (เจ้าหญิงแห่งเวลส์)4.จอห์น สเปนเซอร์ (ถึงแก่กรรมหลังคลอดได้เพียง 10 ชั่วโมง)5.ชารลส์ เอ็ดเวิร์ด มัวไรส์ สเปนเซอร์ (เอิร์ลสเปนเซอร์คนที่ 9)หลังการหย่า ออเนอเรเบิลฟรานเซส พระมารดาของเจ้าหญิงพยายามที่จะขอมีอำนาจในการปกครองบุตร-ธิดาทุกคนโดยการร้องขอต่อศาล หากแต่แพ้คดีความ อำนาจในการปกครองบุตรธิดาจึงตกอยู่ที่พระบิดา ซึ่งหลังจากพระอัยกา (ปู่) ของไดอานา เอิร์ลคนที่ 7 แห่งสเปนเซอร์ถึงแก่อนิจกรรม วิสเคานท์อัลทอปในฐานะบุตรชายคนโตจึงได้รับสืบทอดยศของตระกูลต่อมา เป็นเอิร์ล คนที่ 8 แห่งสเปนเซอร์ ธิดาทั้งสามคน (ซาราห์ เจนและไดอานา) ได้รับยศเป็นเลดี้ ในขณะที่ชาลส์ ในฐานะที่เป็นทายาทผู้จะสืบตำแหน่งเอิร์ลแห่งสเปนเซอร์ต่อไป จึงดำรงยศเป็นวิสเคานท์อัลทอปต่อมาเอิร์ล คนที่ 8 แห่งสเปนเซอร์ พระบิดาได้สมรสอีกครั้งกับเรนน์ เคานท์เตสแห่งดาร์มอท (ลูกสาวของ บาร์บารา คารต์แลนด์นักเขียนนวนิยายชื่อดังชาวอังกฤษ ที่ไดอานาชื่นชอบ) ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างแม่เลี้ยงและลูกเลี้ยงทั้ง 4 คนนั้นเป็นไปอย่างไม่ราบรื่นนักอภิเษกสมรสครอบครัวสเปนเซอร์ใกล้ชิดกับพระราชวงศ์มานานแล้ว เลดีฟรอยเมยซึ่งเป็นคุณยายของเจ้าหญิงนั้น เป็นพระสหายและนางสนองพระโอษฐ์ในสมเด็จพระราชชนนีอลิซาเบธ มาเป็นเวลานาน ประกอบกับการที่เจ้าชายแห่งเวลส์เคยทรงคบหาอยู่กับเลดี้ซาราห์และเลดี้เจน พี่สาวของเลดี้ไดอานา ทำให้พระองค์ทรงคุ้นเคยกับไดอานาพอสมควร และเมื่อเจ้าฟ้าชายชาลส์พระชนม์ได้ราว 30 พรรษา พระองค์ได้รับการร้องขอให้ทรงอภิเษกสมรส ตามกฎหมายพระองค์จะต้องเสกสมรสกับสตรีที่ไม่ได้นับถือนิกายโรมันคาทอลิค แต่นับถือนิกายโบสถ์แห่งอังกฤษ นอกจากนี้ ลอร์ดเมาท์แบทเทน แห่งพม่าซึ่งเป็นพระอัยยิกาน้อย (น้องชายของปู๋) ของเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ยังได้แนะนำให้พระองค์เสกสมรสกับหญิงบริสุทธิ์ด้วย อีกทั้งการที่สมเด็จพระราชชนนี ทรงพระราชประสงค์จะให้พระองค์เองกับเลดี้ฟรอมเมยได้เป็น "ทองแผ่นเดียวกัน" เจ้าฟ้าชายผู้ทรงรักสมเด็จยายมากจึงทรงยอมตามพระทัย และพยายามทำพระองค์ให้คิดว่าไดอานานี้แหละ คือ สุดยอดผู้หญิงที่เหมาะสมกับพระองค์ และเป็นผู้หญิงที่พระองค์รักสำนักพระราชวังบัคคิงแฮมประกาศเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2524 ว่าพระราชพิธีอภิเษกสมรสจะจัดขึ้นที่โบสถ์เซนต์ปอล ในลอนดอน ในวันที่ 29 กรกฎาคม ปีเดียวกัน โดยมีแขกได้รับเชิญจำนวนกว่า 3500 คน และมีการถ่ายทอดสดพระราชพิธีนี้ด้วยไดอานาเป็นหญิงคนแรกในรอบหลายศตวรรษที่สมรสกับรัชทายาทแห่งราชบัลลังก์อังกฤษ หลังการอภิเษกสมรสไดอานาได้รับยศเป็น "เจ้าหญิงแห่งเวลส์" และมีลำดับพระอิสริยยศเป็นลำดับที่ 3 แห่งพระราชวงศ์ฝ่ายในของอังกฤษ ต่อจากสมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 2 และสมเด็จพระราชชนนีอลิซาเบธนอกจากนี้ ไดอานายังเป็นสตรีสามัญชนคนแรกที่อภิเษกสมรสกับเจ้าชายแห่งเวลส์ และได้ดำรงพระอิสริยยศเป็นเจ้าหญิงแห่งเวลส์ด้วย พระโอรสเจ้าชายและเจ้าหญิงแห่งเวลส์ มีพระโอรส 2 พระองค์ คือ1.เจ้าชายวิลเลียม แห่งเวลส์ ประสูติ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2525 รัชทายาทลำดับที่ 2 แห่งอังกฤษ ทรงสำเร็จการศึกษาปริญญาตรีจาก มหาวิทยาลัยอีตันในสาขาวิชาภูมิศาสตร์ ชีววิทยาและประวัติศาสตร์ศิลปะ (ผลการทรงศึกษาทั้งหมดด้วยลำดับขั้น A) จากนั้นทรงเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาโท สาขาวิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ และสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเซนต์แอนดริวส์ ด้วยเกียรตินิยมอันดับ 2 ปัจจุบันทรงเข้ารับการฝึกเป็นทหารอยู่ที่ประเทศชิลี2.เจ้าชายเฮนรี แห่งเวลส์ ประสูติ 15 กันยายน พ.ศ. 2527 รัชทายาทลำดับที่ 3 แห่งอังกฤษ ถูกโจมตีมากที่สุดว่าเป็นเจ้าชายเจ้าปัญหา ด้วยพระอารมณ์รุนแรง หรือการฉลองพระองค์ไม่เหมาะสม (เช่นชุดนาซี)

วันศุกร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2553

Robbie Williams


ร็อบบี้ วิลเลียมส์ (อังกฤษ: Robbie Williams) มีชื่อจริงว่า โรเบิร์ต พีเตอร์ แมกซ์มิลเลียน วิลเลียมส์ (Robert Peter Maximillian Williams) เกิดเมื่อ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2517 เป็นนักร้องอังกฤษ อดีตสมาชิกวงเทค แดท ร็อบบี้ถือว่าเป็นนักร้องชายอังกฤษที่มียอดขายมากที่สุด ยอดขายอัลบั้มได้มากกว่า 50 ล้านชุดทั่วโลกร็อบบี้ เกิดในครอบครัวคาทอลิกใน นิวคาสเซิล-อันเดอร์-ไลม์ (Newcastle-under-Lyme) โตใน สโต๊ค-ออน-เทร็นท์ ประเทศอังกฤษ (Stoke-On-Trent) เมื่อร็อบบี้มีอายุ 3 ปี บิดามารดาของเขาได้หย่าร้างกัน และเขาจึงอยู่กับมารดาและพี่สาว (ต่างบิดา) ของเขา ร็อบบี้ได้เข้าเรียนในโรงเรียนมัธยมปลายที่ชื่อว่า “ เซ็นท มาร์การ์เร็ท วอร์ด (St. Margaret Ward) แต่สอบไม่ผ่าน จึงออกมาทำงานเป็นพนักงานขาย
จากนั้นร็อบบี้ได้เข้าสมัครคัดเลือกและเข้าเป็นสมาชิกในวง “ เทค แดท” (Take That) ในขณะมีอายุ 16 ปี เทค แดทเป็นวง
บอยแบนด์ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก โดยมีเพลงอันดับ 1 ถึง 10 เพลง (7 เพลงขณะร็อบบี้อยู่ในวง) แต่ในภายหลัง ร็อบบี้ก็ออกจากวงในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2538ร็อบบี้ วิลเลียมส์ ออกซิงเกิ้ลแรก Freedom เพลงเก่าของ จอร์จ ไมเคิล โดยในอัลบั้มแรกของเขาที่ชื่อว่า “ ไลฟ ธรู อะ เลนซ” (Life Thru A Lens) กับค่ายคริสสะลิส เร็คคอร์ดส (Chrysalis Records) ตามมาด้วยเพลง "Old Before I Die" (#2) , "Lazy Days" (#8) และ "South Of The Border" (#14) จนกระทั่งซิงเกิ้ลที่ชื่อว่า Angels ได้ปล่อยออกมาในช่วงเทศกาลคริสต์มาส เป็นการเน้นความดังของร็อบบี้ เพลงนี้อยู่ในชาร์ทนานกว่า 27 สัปดาห์ และขายได้ถึง 868,000 แผ่นอัลบั้มที่สองเขาในปี พ.ศ. 2541 ที่ชื่อว่า I've Been Expecting You เปิดตัวด้วยเพลง Millennium เป็นเพลงอันดับ 1 เพลงแรกในอังกฤษของร็อบบี้ และซิงเกิ้ลฮิตหลายเพลง เช่น เพลง Strong และเพลง No RegretsThe Ego Has Landed เป็นอัลบั้มที่ออกวางขายเฉพาะในอเมริกา เป็นการรวมเพลงจาก "Life Thru A Lens" และ "I've Been Expecting You" เข้าด้วยกันพ.ศ. 2543 อัลบั้มที่ชื่อว่า "Sing When You're Winning" ปล่อยเพลงฮิตRock DJ ที่ขึ้นอันดับ 1 ในอังกฤษ ต่อด้วยเพลง "Kids" ร้องคู่กับ ไคลี มิโนค (#2) , "Supreme" (#4) , "Let Love Be Your Energy" (#10) และ "Eternity / The Road To Mandalay" (#1) อัลบั้มขายได้ 2,182,000 แผ่นอัลบั้มถัดมา "Swing When You're Winning" เป็นอัลบั้มคัฟเวอร์เพลงแนว Pop-standard มีเพลงอันดับ 1 อย่าง "Somethin' Stupid} โดยร้องร่วมกับนิโคล คิดแมน (Nicole Kidman) นักแสดงชาวออสเตรเลียนในปี พ.ศ. 2545 ร็อบบี้ ได้เซ็นสัญญาฉบับใหม่กับอี เอ็ม ไอ (EMI) ซึงมีมูลค่าประมาณหกพันล้านบาท เขาได้หยุดทำงานร่วมกับคู่หูซึ่งแต่งเพลงให้แก่เขามาเป็นระยะเวลานานที่ชื่อ “ กาย เชมเบอร์ซ” (Guy Chambers) อย่างไรก็ตาม พวกเขาได้กลับมาร่วมงานกันอีกครั้งหนึ่งในหกเดือนต่อมา เพื่อทำงานเพลงร่วมกันในอัลบั้มถัดมาที่ชื่อว่า "Escapology" ซึ่งออกมาในช่วงปลายปี พ.ศ. 2545 ซิงเกิ้ลแรกในอัลบั้มนี้ซึ่งก็คือ เพลง "Feel"บรรยากาศจากConcert ที่ Knebworth ประเทศอังกฤษ(2003)ในปี พ.ศ. 2546 ร็อบบี้ได้เล่นคอนเสิร์ต ที่ Knebworth ประเทศอังกฤษ เป็นเวลา 3 คืน โดยมีจำนวนผู้ชมรวมทั้งสิ้น มากกว่า 375,500 คน ซึ้งเป็นจำนวนที่มากที่สุดในการแสดง คอนเสิร์ต ในปี 2003 นอกจากการแสดงสดแล้ว ยังมีอัลบั้มบันทึกการแสดงสดที่ใช้ชื่อว่า "Live at Knebworth" และ DVD บันทึกการแสดงสดที่ใช้ชื่อว่า "What We Did Last Summer"ในปี พ.ศ. 2547 ได้ออกอัลบั้มรวมเพลง "Greatest Hits" มีเพลงอย่าง "Radio" ที่ทำงานร่วมกับ “ สตีเฟ่น ดัฟฟี่” ( Stephen Duffy) ซิงเกิ้ลอีกเพลงหนึ่งที่ชื่อว่า "Misunderstood" ได้กลายเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง “ บริดเจ็ท โจนซ ไดอารี่ ตอน ดิ เอ็น ออฟ รีซืน” (Bridget Jones Diary : The Edge of Reason)ตุลาคม พ.ศ. 2548 ได้ออกอัลบั้มที่ 9 "Intensive Care" อัลบั้มขึ้นอันดับ 1 ในอังกฤษขายได้มากกว่า 7 ล้านชุดทั่วโลก ปล่อยซิงเกิ้ลแรก "Tripping" ขึ้นสูงสุดอันดับ 2 ต่อด้วย "Advertising Space" และ "Sin Sin Sin" ซิงเกิ้ลถัดมา "Rudebox" จากอัลบั้มที่ 10 ขึ้นชาร์ทซิงเกิ้ลอันดับ 4 อัลบั้มนี้ ร่วมงานกับ Pet Shop Boys ,William Orbit ผู้ฝากฝีมือโปรดิวซ์ไว้ให้กับมาดอนน่า ไปจนกระทั่ง Soul Mekanik (โซล เมคานิค) ผู้ร่วมแต่งเพลง ‘Rock DJ’ และไอคอนของวงการดิสโกเฮาส์อย่าง Joey Negro (โจอี้ นีโกร) และ Mark Ronson (มาร์ก รอนสัน)

วันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2553

มีการจัดเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ขึ้นเป็นครั้งแรก


20 กันยายน พ.ศ. 2489 เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ (Festival de Cannes) หนึ่งในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติที่เก่าแก่ที่สุดในโลก เริ่มจัดขึ้นเป็นครั้งแรกที่เมืองคานส์ ตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศส โดย ฌอง ซาอี (Jean Zay) รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ เห็นว่าเทศกาลภาพยนตร์เมืองเวนิส (Mostra de Venise) ในช่วงทศวรรษที่ 1930s กำลังถูกแทรกแซงโดยรัฐบาลเผด็จการฟาสซิสม์ของอิตาลี จึงจัดงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติของฝรั่งเศสขึ้นมาบ้าง ในที่สุดก็เลือกเมืองคานส์ซึ่งเป็นเมืองพักตากอากาศที่มีชื่อเสียงของฝรั่งเศส โดยมี หลุยส์ ลูมิแยร์ (Louis Lumiere) เป็นประธานคนแรกในปี 2482 แต่เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 เสียก่อน จึงต้องยุติไว้ หลังจากสงครามสงบแล้วจึงรื้อโครงการนี้ขึ้นมาอีกครั้งในปี 2489 โดยจัดขึ้นครั้งแรกที่บ่อนกาสิโนเก่าแก่ที่เมืองคานส์ จากนั้นก็จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในเดือนกันยายน ในปี 2494 เทศกาลได้เลื่อนมาเป็นเดือนพฤษภาคม ปัจจุบันจัดที่อาคาร Palais des Festivals et des Congres เมืองคานส์ มีภาพยนต์เข้าฉายที่เทศกาลนี้แล้วกว่า 3 หมื่นเรื่อง ภายในงานมีการประกวดภาพยนตร์ และตลาดซื้อขายลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ รวมไปถึงนิทรรศการและงานเสวนาด้านภาพยนตร์ แต่ละปีจะมีการมอบรางวัลใหญ่ได้แก่ รางวัล “Palme d’Or” (Golden Palm) นอกจากนี้ยังมีรางวัล “Grand Prix”, “Best Actress”, “Best Actor”, “Best Director”, “Best Screenplay”, “Jury Prize” และ “Best Short Film” ภาพยนตร์ไทยเรื่องเดียวที่ได้รางวัลจากเมืองคานส์ได้แก่ "สัตว์ประหลาด” (Tropical Malady) ผลงานของ อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล ได้รับรางวัล “Jury Prize" เมื่อปี 2547

วันพฤหัสบดีที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2553

bouillabaisse


An authentic bouillabaisse from Marseille, The fish and shellfish are served on one platter, the broth is served in a bowl with rounds of bread spread with rouille.Bouillabaisse (Occitan: bolhabaissa) is a traditional Provençal fish stew originating from the port city of Marseille. The French and English form bouillabaisse comes from the Provençal Occitan word bolhabaissa [ˌbujaˈbajsɔ], a compound that consists of the two verbs bolhir (to boil) and abaissar (to reduce heat, i.e., simmer).Bouillabaisse is a fish soup containing various kinds of cooked fish and shellfish and vegetables, flavored with a variety of herbs and spices such as garlic, orange peel, basil, bay leaf, fennel and saffron. There are at least three kinds of fish in a traditional bouillabaisse, typically scorpionfish (fr: rascasse); sea robin (fr: grondin); and European conger (fr: congre); and it can also include gilt-head bream (fr: dorade); turbot; monkfish (fr: lotte or baudroie); mullet; or silver hake (fr: merlan) It also usually includes shellfish and other seafood such as sea urchins (fr: oursins), mussels (fr: moules); small crabs (fr: etrilles); spider crab (fr: araignées de mer) or octopus. More expensive versions may add langoustine. Vegetables such as leeks, onions, tomatoes, celery and potatoes are simmered together with the broth and served with the fish. The broth is traditionally served with a rouille, a mayonnaise made of olive oil, garlic, saffron and cayenne pepper on grilled slices of bread.What makes a bouillabaisse different from other fish soups is the selection of Provençal herbs and spices in the broth, the use of bony local Mediterranean fish, and the method of serving. In Marseille, the broth is served first in a bowl containing the bread and rouille, with the seafood and vegetables served separately in another bowl or on a platter.