วันจันทร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2553

สารทจีน

ตามปฏิทินจีนโบราณ เดือน 7 ถือเป็นเดือนสำคัญที่ลูกหลานจะแสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษโดยพิธีเซ่นไหว้ หญิงที่แต่งงานแล้วต้องกลับมาเซ่นไหว้ที่บ้านเดิมต่อมาเรื่องนี้ได้ไปปะปนกับเรื่องของพระโมคคัลลานะ ที่ช่วยมารดาให้พ้นจากนรก จึงมีความเชื่อว่าเป็นเวลาที่ประตูนรกนั้นได้ถูกเปิด เพื่อให้บรรดาภูติผีออกเร่ร่อนตามสถานที่ต่างๆ ชาวจีนจะมีการเซ่นไหว้เพิ่มขึ้นมาอีกพิธีหนึ่ง คือ ในตอนเช้าจะเซ่นไหว้เจ้าที่ และเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ตอนบ่ายจะเซ่นไหว้ผีไม่มีญาติ หรือบรรพบุรษต้นตระกูลของชาวจีน ที่ล่วงลับไปแล้วแต่ไม่มีลูกหลานสืบสกุล แต่ในบางแห่งก็นิยมไหว้ในตอนเช้าด้วยเช่นกัน ประเพณีนี้ได้ยึดถือปฏิบัติสืบทอดกันมายาวนาน...
ในรอบหนึ่งปีชาวจีนจะมีไหว้เจ้าใหญ่ 8 ครั้ง เรียกว่าไหว้ 8 เทศกาลโป๊ะโจ่ย การไหว้สารทจีนเป็นการไหว้ครั้งที่ 5 ตรงกับวันที่ 15 เดือน 7 ซึ่งถือกันว่าเป็นเดือนผี เป็นเดือนที่ประตูนรกปิดเปิด ให้ผีทั้งหลายมารับกุศลผลบุญได้ ตำราจีนหนึ่งกล่าวไว้ว่า วันที่ 15 เดือน 7 เป็นวันที่เช็งฮีไต๋ตี๋จะตรวจดูบัญชีวิญญาณคนตาย ส่งวิญญาณดีขึ้นสวรรค์ และส่งวิญญาณร้ายลงนรก ชาวจีนทั้งหลายรู้สึกสงสารวิญญาณร้าย จึงทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ นรกจึงเปิดประตู เพื่อให้วิญญาณร้ายออกมารับกุศลผลบุญได้

การไหว้
การไหว้ในเทศกาลสารทจีนต่างจากการไหว้ในเทศกาลอื่นๆ ตรงที่แบ่งการไหว้ออกเป็น 3 ชุด ชุดแรก สำหรับไหว้เจ้าที่
จะไหว้ในตอนเช้า มีอาหารคาวหวาน ขนมไหว้ก็ใช้ ถ้วยฟู กุ้ยไช่ ซึ่งต้องมีสีแดงแต้มเป็นจุดเอาไว้ ส่วนขนมไหว้พิเศษที่ต้องมี ซึ่งเป็นประเพณีของสารทจีน คือ ขนมเข่ง ขนมเทียน นอกจากนั้นก็มีผลไม้ น้ำชา หรือเหล้าจีน และกระดาษเงิน กระดาษทอง

ชุดที่สอง สำหรับไหว้บรรพบุรุษ
คล้ายของไหว้เจ้าที่ พร้อมด้วยกับข้าวที่ บรรพบุรุษชอบ ตามธรรมเนียมต้องมีน้ำแกง หรือขนมน้ำใสๆ วางข้างชามข้าวสวย และน้ำชา จัดชุดตามจำนวนของบรรพบุรุษ ถ้าเป็นคนมีฐานะก็นิยมไหว้โหงวแซ คือมี เป็ด ไก่ หมู ตับ ปลา พร้อมด้วยกับข้าวอีกหลายอย่าง แล้วแต่ว่าจะจัดที่บรรพบุรุษชอบ หรือจะจัดแบบที่ลูกหลานคนที่ได้กินจริงชอบ แต่ตามธรรมเนียมการไหว้บรรพบุรุษ ต้องมีของน้ำสำหรับซดให้คล่องคอ จะเป็นน้ำแกงก็ได้ หรือเป็นขนม น้ำใส ๆ เช่น อี๊ (คือขนมบัวลอย) ก็ได้ วางเคียงกับชามข้าวสวยและน้ำชา ของหวานก็มี ขนมเข่ง ขนมเทียน ผลไม้ และกระดาษเงินกระดาษทอง ที่ขาดไม่ได้ก็คือ ขนมเข่ง ขนมเทียน ผลไม้ และกระดาษเงินกระดาษทอง

ชุดที่สาม สำหรับไหว้วิญญาณพเนจร ผีไม่มีญาติ ซึ่งไม่มีลูกหลานกราบไหว้ เรียกว่า ไป๊ฮ้อเฮียตี๋ หรือบางแห่งเรียกว่า ฮ้อเฮียตี๋
จะต้องไหว้นอกบ้าน ของไหว้มีทั้งของคาวหวาน กับผลไม้ตามต้องการ และที่พิเศษคือ มีข้าวหอมแบบจีนโบราณ คอปึ่ง เผือกนึ่งผ่าซีกเป็นเสี้ยวใส่ถาด เส้นหมี่ห่อใหญ่ เหล้า น้ำชา และกระดาษเงินกระดาษทองแบบเฉพาะ ที่เรียกว่า อ่วงแซจิว จัดทุกอย่างวางอยู่ด้วยกันสำหรับเซ่นไหว้


พิธีไหว้
การไหว้เจ้าที่ จะไหว้ก่อนในตอนเช้า เผากระดาษเงินกระดาษทองจนเรียบร้อย สายๆ จึงตั้งโต๊ะไหว้บรรพบุรุษและไหว้ฮ้อเฮียตี๋ บางบ้านนิยมไหว้ตอนบ่าย ถ้าไหว้พร้อมกัน ให้ตั้งโต๊ะแยกจากกัน แต่เผากระดาษเงินกระดาษทองร่วมกันได้
สำหรับการไหว้ขนมเข่งขนมเทียนในเทศกาลสารทจีนนี้ ที่เมืองจีนไม่มี ขนมที่ใช้ไหว้ที่เมืองจีนจะเป็นขนม 5 อย่าง เรียกว่า “โหงวเปี้ย” หรือ เรียกชื่อเป็นชุดว่า ปัง เปี้ย หมี่ มั่ว กี ปัง คือ ขนมทึงปัง เป็นขนมที่ทำจากน้ำตาล เปี้ย คือ ขนมหนึงเปี้ย คล้ายขนมไข่ หมี่ คือ ขนมหมี่เท้า ทำจากแป้งข้าวเจ้า ข้างในไส้เต้าซา มั่ว คือ ขนมทึกกี่ เป็นขนมข้าวพองสีแดง ตรงกลางมีไส้เป็นแผ่นบาง กี คือ ขนมทึงกี ทำเป็นชิ้นใหญ่ยาว เวลาจะกินต้องตัดเป็นชิ้นเล็กๆ
เนื่องจากที่เมืองไทยหาส่วนผสมที่ใช้ทำขนมทั้งห้านี้ไม่ได้ครบถ้วน จึงงดไป แล้วเปลี่ยนมาเป็นการไหว้ขนมเข่ง ขนมเทียน ในการไหว้เทศกาลสารทจีนแทน

วันศุกร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Escargot
















Plate of escargot, with tongs and fork.






Escargot is a dish of cooked land snails, usually served as an appetizer. The word is also sometimes applied to the living snails of those species which are commonly eaten.
Escargot, IPA: [ɛskaʁɡo], is the French word for snail. It is related to Occitan escaragol[1] and Catalan cargol, which, in turn, may derive from a pre-Roman word *karakauseli[2].
Not all species of snail are edible, but many are. Even among the edible species, the palatability of the flesh varies from species to species. In France, the species Helix pomatia is most often eaten. The "petit-gris" Helix aspersa is also eaten, as is Helix lucorum. Several additional species are popular in Europe; see heliciculture.





History
Snail shells have been found in archaeological excavations, an indication that snails have been eaten since prehistoric times [3][4] A number of archaeological sites around the Mediterranean have been excavated yielding physical evidence of culinary use of several species of snails utilized as escargot.[5] The Romans, in particular, are known to have considered escargot as an elite food, as noted in the writings of Pliny[disambiguation needed]. For example the species Otala lactea of edible snails has been recovered from Volubilis in present day Morocco.[6] This archaeological recovery is from an era of Roman Empire occupation of this provincial capital, which site was known to embody a very highly developed ancient civilization.
Preparation


Escargot cooked with garlic and parsley butter in a shell (with a €0.02 coin, approx 19 mm across, as a scale object)


Escargot cooked with garlic and parsley butter outside of its shell
In Western culture, typically the snails are removed from their shells, gutted, cooked (usually with garlic butter or chicken stock) and then poured back into the shells together with the butter and sauce for serving, often on a plate with several shell-sized depressions. Additional ingredients may be added such as garlic, thyme, parsley and pine nuts. Special snail tongs (for holding the shell) and snail forks (for extracting the meat) are also normally provided.
Like most molluscs, escargot is high in protein and low in fat content (if cooked without butter). It is estimated that escargot is 15% protein, 2.4% fat and about 80% water.
Heliciculture
Main article: Heliciculture
Because a typical snail diet includes decayed matter, carrion, and a wide variety of leaves, the contents of their stomachs can sometimes be toxic to humans. Therefore, before they are cooked, the snails are first prepared by purging them of the questionable contents of their digestive systems. The process used to accomplish this varies, but generally involves a combination of fasting and purging or simply feeding them on a wholesome replacement. The methods most often used can take several days. Farms producing Helix aspersa for sale exist in Europe and in the United States. Farm-raised snails are typically fed a diet of ground cereals.
See also
Snails in cuisine
Periwinkle
References
^ Merriam-Webster Collegiate Dictionary, Eleventh Edition
^ Diccionari Barcanova de la Llengua. Editorial Barcanova, 2004.
^ Prehistoric edible land snails in the circum-Mediterranean: the archaeological evidence., D. Lubell. In J-J. Brugal & J. Desse (eds.), Petits Animaux et Sociétés Humaines. Du Complément Alimentaire Aux Ressources Utilitaires. XXIVe rencontres internationales d'archéologie et d'histoire d'Antibes, pp. 77-98. Antibes: Éditions APDCA.
^ Are land snails a signature for the Mesolithic-Neolithic transition? In, M. Budja (ed.), Neolithic Studies 11. Documenta Praehistorica XXXI: 1-24. D. Lubell.
^ A. Eastham, Alastair Small, Michael Ross MacKinnon, Stephen G. Monckton, David S. Reese, Robert J. Buck (2002) The Excavations of San Giovanni Di Ruoti: The Faunal and Plant Remains, University of Toronto Press, 232 pages ISBN 080204865X
^ C. Michael Hogan, Volubilis, The Megalithic Portal, ed. Andy Burnham (2007) [1]
^ [-://www.dietaryfiberfood.com/snail-escargot.php Snail (escargot) nutritional value]

วันพุธที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2553

แฝดสยาม อิน-จัน


เมื่อปี พ.ศ.๒๓๕๔ เกิดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกคือฝาแฝด อิน - จัน เป็นฝาแฝดตัวติดกันเป็นฝาแฝดคู่แรกของโลกมีศัพท์เรียกว่า แฝดไทย ( Siamese Twin ) อิน - จัน เกิดที่ตำบลแหลมใหญ่ปากคลองแม่กลอง อำเภอเมืองฯ ฝาแฝดดังกล่าวมีหน้าอกที่มีแผ่นหนังเชื่อมยึดติดกันเป็นแถบกว้าง แรกเกิดหนังหน้าอกดังกล่าวบิดเป็นเกลียว เด็กทั้งสองนอนในท่ากลับหัว กลับเท้า มารดาจึงจับหมุนให้หัวและเท้ามาอยู่ทางเดียวกัน ทั้งสองมีสะดือร่วมกัน


อิน –จัน แฝดสยามคู่แรกของโลก ”
อิน-จันแฝดสยามมีตัวหน้าอกติดกัน ซึ่งในขณะนั้นถือได้ว่าเป็นบุคคลประหลาดที่ยังไม่เคยมีมาก่อน เพราะส่วนใหญ่เด็กที่เกิดขึ้นในลักษณะนี้มักเสียชีวิตหรืออยู่ได้ไม่นานจึง เป็นเรื่องที่ผู้คนต้องให้ความสนใจ โชคดีที่มีฝรั่ง 2 คนเกิดความสนใจที่จะเอาอิน-จันไปแสดงในต่างประเทศ ทำให้ทั้งสองได้เห็นโลกอันกว้างใหญ่ และได้เรียนรู้ภาษาอังกฤษจนสามารถติดต่อพูดคุยกับชาวโลกอื่น ๆ ได้ จนประสบความส าเร็จมีเงินร่ ารวยจนซื้อที่ตั้งรกรากท าไร่ในสหรัฐฯถึงเกือบ 400 ไร่และแต่งงานกับสาวอเมริกันมีลูกสืบเชื้อสายต่อมาอีกมากมาย ชีวิตของ บุคคลทั้งสองนั้นมีเรื่องราวที่น่าศึกษาเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากจะเป็นเรื่องที่สามารถรอดชีวิตมาได้แล้ว ก็ยัง สามารถท ากิจกรรมต่าง ๆ มากมายเยี่ยงคนสามัญทั้งหลาย จนถึงขนาดมีภรรยาเหมือนเช่นคนปกติและก็ไปไหนมาไหนด้วยกันทั้งสองคน แม้กระทั่งคนใดคนหนึ่งจะหลับนอนกับภรรยาก็จะมีอีกคนหนึ่งติดไปด้วยเสมอ โดย ที่ทั้งสองต่างมีความรู้สึกนึกคิดเป็นคนละคนและมีอุปนิสัยที่แตกต่างกัน แต่ก็ต้องมีตัวที่ติดกันตลอดวันตลอดคืน หากเป็นคนทั่วไปคงยากที่จะรับได้ แต่สำหรับ อิน –จัน เขาทั้งสองต้องรับรู้ซึ่งกันและกันมาเป็นเวลาถึง 62 ปีเต็ม ทำให้เกิดการขัดแย้งกันมากมายแต่ก็ไม่มีทางเลือกที่จะแยกทางกันได้ ถึงแม้จะมีหลายครั้งที่ทั้งสองพยายามปรึกษาหาหมอมาแยกร่างของเขาออกจากกัน แต่ในยุคนั้นวิทยาการการแพทย์ยังไม่สามารถทำอะไรได้ มากนัก จนสุดท้ายทั้งสองก็เสียชีวิตในวันเดียวกัน ถึงแม้บุคคลทั้งสองจากเมืองไทยไปและก็ไม่ได้กลับมาสู่บ้าน เกิดเมืองนอนอีก และทุกคนที่รู้เรื่องสองคนก็มักจะนึกถึงเมืองไทยเสมอ ถือได้ว่าที่โลกรู้จักเมืองไทยก็เพราะเขา ทั้งสองเป็นส่วนหนึ่งเช่นกัน แม้ว่าเวลาจะล่วงเลยไปเกือบ 200 ปีแล้วก็ตาม แฝดอิน-จัน เป็นฝาแฝดที่มีลักษณะ ผิดแผกแตกต่างไปจากแฝดคู่อื่นๆ เพราะมีร่างกายติดกันมาตั้งแต่เกิด และท าให้ชาวโลกรู้จักฝาแฝดอิน-จันคู่นี้ที่มีล าตัวติดกันเป็นครั้งแรกในโลก แต่ก่อนฝรั่งไม่เคยพบเห็นเด็กฝาแฝดที่มีร่างกายติดกัน พอมาพบเด็กแฝดชาว ไทยชื่ออินกับจันที่มีตัวติดกัน จึงท าให้มีค าเรียกฝาแฝดที่มีร่างกายติดกันว่า “
แฝดสยาม ” (Siamese twins) นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

ประวัติ
แฝดอิน-จัน เกิดเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2354 ซึ่งตรงกับรัชสมัยของ
สมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ที่บ้านเรือนแพริมน้ าปากคลองแม่กลอง ต.แหลมใหญ่ อ.เมือง จ.สมุทรสงคราม บิดาของแฝดอิน-จันชื่อนายทีอาย เป็นชาวจีนแต้จิ๋วที่อพยพมาจากจีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งเกิดที่เมืองจีนในสมัยราชวงศ์ชิงราชวงศ์สุดท้ายของจีน แล้วอพยพเข้ามาดินแดนสยามในสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชรัชกาลที่ 1 เมื่อราว พ.ศ. 2333 โดยแรกเริ่มมาลงหลักปักฐานประกอบอาชีพประมงและค้าขายที่ปากคลอง (แม่น้ า) แม่กลอง ส่วนมารดาชื่อนางนก มีเชื้อสายจีน-มาเลย์ อิน-จัน มีพี่น้องร่วมท้องเดียวกันรวม 9 คน โดยแฝดอิน-จันเป็นลูกคนที่ห้าและหกของพ่อกับแม่ เมื่อแรกเกิดอิน-จันมีร่างกายสมประกอบทุกอย่าง เพียงแต่ที่หน้าอกมีแผ่นหนังเชื่อมยึดติดกันเป็นแถบกว้างประมาณ 6 นิ้ว และมีสายสะดือเดียวกัน ตอนแรกที่เกิดมานั้นหนังที่เชื่อมหน้าอกบิดเป็นเกลียว เด็กทั้งสองนอนในท่ากลับหัวกลับเท้า แม่ของแฝดอิน-จันจึงจับหมุนให้หันหัวและเท้าอยู่ในทิศทางเดียวกัน โดยอินจะเป็นคนที่อยู่ทางซ้ายของสายตาคนมอง ส่วนจันจะเป็นคนขวาของสายตาคนมอง การเกิดมาอย่างผิดปกติของเด็กทั้งคู่ในสมัยนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ดีนัก เพราะเชื่อกันว่าเด็กแฝดตัวติดกันเป็นเสนียดจัญไร อาจจะน าความฉิบหายมาให้บ้านเมืองได้ เรื่องเล่าบางเรื่องกล่าวว่าควรจะแยกเด็กทั้งคู่ออกจากกันเสียเพื่อให้ลางร้ายนั้นหมดไป แต่วิธีการที่หมอในสมัยนั้นจะทำกัน ล้วนเป็นเรื่องที่ฟังดูแล้วน่าตกใจ เช่น เอาลวดไปเผาไฟให้ร้อนแล้วใช้ลวดนั้นตัดทั้งสองคนออกจากกันหรือหมอบางคนถึงกับแนะนำให้เอาเลื่อยมาเลื่อยเด็กทั้งสองคนนี้ออกจากกันไปเลย แต่ไม่ว่าวิธีไหนก็ถูกบิดาและมารดาของแฝดอิน-จันปฏิเสธ พร้อมทั้งยืนยันว่าจะเลี้ยงเด็กแฝดนี้อย่างคนปกติทั่วไป เพื่อให้ลูกที่เกิดมาใช้ชีวิตเหมือนเด็กปกติธรรมดา นางนกแม่ของอิน-จันจึงพยายามดึงเส้นเอ็นที่เชื่อมหน้าอกของลูกทั้งสองให้ยืดยาวออกให้ได้มากที่สุดเพื่อให้ทั้งคู่เคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างสะดวก อีกทั้งยังฝึกให้เด็กทั้งสองท ากิจกรรมต่างๆ อย่างเช่นการเดิน วิ่ง ว่ายน้ำ พายเรือ เพื่อให้เด็กทั้งคู่จะสามารถท าสิ่งต่างๆ ได้เหมือนเด็กคนอื่นๆ และสามารถใช้ชีวิตตามปกติ
แฝดอิน-จันได้เริ่มหัดเดินก็พบความยุ่งยากที่มีมากกว่าเด็กธรรมดาคนอื่นๆ เพราะขณะที่คนหนึ่งก้าวเท้าหากอีกคนหนึ่งอยู่เฉยๆ ก็จะหกล้มหัวคะม าไปทั้งคู่ แต่ไม่นานนักปัญหานี้ก็หมดไปเมื่อทั้งคู่รู้จักการโอบไหล่กันเข้าหากัน ก้าวเท้าประสานกัน เหมือนเป็นคนๆ เดียวกันจนสามารถเดินและวิ่งได้อย่างคล่องแคล่ว สิ่งที่น่าแปลกก็คือทั้งคู่จะรู้ว่าอีกคนจะเดินไปทางไหน จะหยุดเมื่อไหร่ และลุกขึ้นยืนตอนไหน อินกับจันจะทำอะไรพร้อมกันอยู่เสมอ รวมไปถึงป่วยพร้อมกัน มีอาการป่วยเหมือนกันและหายป่วยในวันเดียวกัน ลักษณะนิสัยของทั้งคู่จะทำอะไรประสานกลมกลืนกันไปหมดไม่ค่อยเถียงกัน แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นคนๆ เดียวกัน เพราะเขาสามารถสนทนาโดยต่างคนต่างคุยกับอีกคนหนึ่ง ในเวลาเดียวกันได้ในหัวข้อเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกัน ด้านอุปนิสัยนั้น อินค่อนข้างจะเป็นคนเงียบ ใจเย็น เจ้าความคิด ส่วนจันมีนิสัยใจร้อน เจ้าอารมณ์ ฉุนเฉียวง่าย แต่ทั้งคู่เป็นเด็กที่ซน จะชอบไต่ขึ้นไปบนเนินเตี้ยๆ แล้วกอดกันกลิ้งลงมาแล้วพากันหัวเราะอย่างสนุกสนาน อีกทั้งยังชอบวิ่งข้ามรั้ว พอเมื่อตอนที่ทั้งคู่อายุได้ 8 ขวบพ่อก็เสียชีวิตไปเนื่องจากอหิวาตกโรคเมื่อปี พ.ศ. 2362 อิน-จันจึงต้องมีหน้าที่ช่วยงานแม่เลี้ยงเป็ดขายไข่ ขายน้ ามันมะพร้าว ท าไข่เค็มขาย และหาปลา ทั้งสองฉายแววฉลาดให้เห็นตั้งแต่เด็กๆ ครั้นเมื่อรัชกาลที่ 3 ทรงเสด็จขึ้นครองราชย์ พระองค์ทรงโปรดเกล้าฯ ให้เข้าเฝ้า ตอนเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อเข้าเฝ้านั้นทั้งคู่ได้นำไข่เป็ดบรรทุกมาในเรือเพื่อให้แม่ออกนำขายระหว่างที่อยู่ในกรุงเทพฯ จะได้มีทุนซื้อสินค้าจากกรุงเทพฯ กลับไปขายที่แม่กลอง ในวันที่ครอบครัวของอิน-จันเสด็จมาเข้าเฝ้านั้นแฝดอิน-จันได้นำไข่เค็มมาทูลเกล้าถวายฯ ด้วย นอกจากนี้ หลังจากที่ได้เข้าเฝ้าฯ แล้ว ใน พ.ศ. 2370
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ทรงมีพระบรมราชานุญาตให้อิน-จันร่วมเดินทางไปกับคณะทูตสยาม ในการไปเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศโคจินจีนหรือเวียดนามในปัจจุบัน อิน-จันได้รับการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่โดยมีขบวนแห่มารับอย่างอึกทึกครึกโครม
ปี พ.ศ. 2372 แฝดอิน-จัน มีอายุได้ประมาณ 18 ปี สยามเปิดประตูต้อนรับชาวต่างชาติจากทั่วโลก และได้มีเรือกำปั่นอเมริกันล าหนึ่งชื่อ “เดอะชาเคม” (The Sachem) เข้ามาเทียบท่าในกรุงเทพฯ มีนายเรือชื่อกัปตันคอฟฟิน ต่อมาเมื่อกัปตันชื่ออาเบล คอฟฟิน (Abel Coffin) และพ่อค้าชาวสก็อตชื่อโรเบิร์ต ฮันเตอร์ (Robert Hunter) ได้ตั้งห้างอยู่หน้าวัดประยูรวงศ์ ได้ทราบเรื่องฝาแฝดอิน-จันจึงเดินทางมาหา เมื่อเห็นแฝดอิน-จัน ว่ายน้ำไปขึ้นเรือและพายเรืออย่างคล่องแคล่ว ก็รู้สึกตื่นเต้นเป็นที่สุด พร้อมๆ วาดความคิดขึ้นมาทันทีว่า นี่แหละคือ “สินค้าตัวใหม่” จากแดนสยาม นายฮันเตอร์เข้ามาตีสนิทกับครอบครัวของอิน-จันอยู่ร่วมปี และได้ติดต่อกับแม่ของเด็กทั้งสองให้แฝดอิน-จันไปเปิดการแสดงที่โรง
มหรสพ ของเขาในสหรัฐอเมริกา โดยอ้างกับแม่ของอิน-จันว่าเพื่อแนะน าให้ชาวโลกได้รู้จัก ทางการสยามได้อนุญาตให้แฝดอิน-จัน เดินทางออกนอกราชอาณาจักรไปแสดงตามที่ต่างๆ ตามค าขอร้องของนายฮันเตอร์และกัปตันคอฟฟิน ซึ่งแม่ของแฝดอิน-จันก็ได้ตกลงและได้รับเงินจ านวน 1,600 บาท แฝดอิน-จันจึงได้ไปเปิดการแสดงที่สหรัฐอเมริกาโดยมีก าหนด 3 ปี จนกว่าทั้งคู่จะอายุครบ 21 ปี โดยอิน-จันได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินเดือน 50 เหรียญต่อเดือนหากแสดงในสหรัฐฯ ขณะที่เดินทางไปสหรัฐอเมริกานั้นแฝดอิน-จัน มีอายุได้ราว 18 ปี ซึ่งนับเป็นคนไทยคู่แรกที่ได้ไปถึงสหรัฐอเมริกา โดยได้เดินทางออกจากสยามเมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2372 โดยมุ่งหน้าไปที่เมืองบอสตัน การเดินทางใช้เวลาถึง 138 วัน ในระหว่างนั้นก็ได้ฝึกภาษาอังกฤษกับพวกลูกเรือ เมื่อไปถึงสหรัฐฯ ค าว่า Siamese Twins จึงได้เกิดขึ้นแต่ครั้งนั้นมา แฝดอิน-จันเริ่มเปิดการแสดงที่เมืองบอสตันเป็นที่แรก ก่อนจะออกเดินทางแสดงทั่วอเมริกาอีกร่วม 10 ปี โดย สัญญาที่ท าไว้กับนายฮันเตอร์และกัปตันคอฟฟินจะสิ้นสุดลงเมื่อทั้งคู่มีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ โดยในช่วง 2 ปี แรก ทั้งคู่ก็ได้รับส่วนแบ่งค่าตอบแทน โดยมีกัปตันคอฟฟินเป็นผู้จัดการ แต่ดูเหมือนกัปตันเป็นผู้หาผลประโยชน์เสียมากกว่า แฝดอิน-จัน ถูกนำไปเปิดการแสดงโชว์ตัวตามประเทศต่างๆ ซึ่งท ารายได้ให้แก่กัปตันคอฟฟินและนายโรเบิร์ต ฮันเตอร์ เป็นอย่างมาก เมื่อแฝดอิน-จัน ไปแสดงที่ใดก็จะได้รับความสนใจ อย่างมาก วงการแพทย์ก็ให้ความสนใจขอตรวจร่างกาย แต่ก็ยังไม่มีการสรุปว่าจะสามารถผ่าตัดแยกร่างออกจากกันได้ เพราะเกรงว่าหากท าเช่นนั้นแล้วจะท าให้ทั้งสองถึงแก่ความตายได้ การแสดงของคู่แฝดไม่ได้มีจุดขายอยู่ที่ความแปลกประหลาด หรือได้แต่เดินไปมาให้ผู้ชมดูความเป็นแฝดตัวติดกันของตนเท่านั้น แต่อยู่ที่ความสุภาพ ความเฉลียวฉลาด และความสามารถอันน่าทึ่งของทั้งคู่ โดยทั้งสองได้ออกแบบการแสดงเองเพื่อให้เห็นถึงความว่องไวและพละก าลัง เช่น อิน-จันสามารถตีลังกาไปข้างหน้า-กลับหลังได้พร้อมๆ กัน และท้าผู้ชมมาดวลหมากกระดานกันสดๆ กลางเวที เล่นกายกรรม ตีแบดมินตัน แถมทั้งคู่ยังมีอารมณ์ขันแบบสุดๆ เช่นคืนเงินครึ่งหนึ่งให้กับผู้ชมคนหนึ่ง โดยบอกว่าผู้ชมท่านนั้น ดูการแสดงด้วยตาเพียงข้างเดียว ต่อจากนั้นก็มีการนำอิน –จันไปแสดงที่อังกฤษ หลังจากเสร็จสิ้นการปรากฏตัวที่อังกฤษแล้ว นายคอฟฟินต้องการพาอิน-จันไปฝรั่งเศส แต่รัฐบาลของฝรั่งเศสปฏิเสธค าขอ เพราะเห็นว่าทั้งคู่เป็นอสุรกาย ซ้ าเกรงว่าจะมีผลเสียหายต่อเด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เกรงว่าหากหญิงมีครรภ์เห็นเข้า ก็จะท าให้ลูกเกิดมาผิดปกติ อย่างไรก็ตามในปี พ.ศ. 2378 (ค.ศ. 1835) อิน-จันก็ได้มีโอกาสไปปรากฏตัวในประเทศฝรั่งเศส แฝดอิน-จัน ท างานกับคอฟฟินจนกระทั่งครบสัญญาในวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2375 (ค.ศ. 1832) หลังเขาทั้งสองได้แยกตัวออกจากคณะมหรสพอย่างเป็นทางการ และเปิดการแสดงอย่างอิสระ ตระเวนออกแสดงทั่วสหรัฐฯ และอังกฤษ ท าให้รายได้เพิ่มมากขึ้นจนมีฐานะร่ ารวย หลังจากการตระเวนแสดงให้คนดูในประเทศสหรัฐอเมริกาอยู่หลายปี แฝดอิน-จัน ได้พบเห็นบ้านเมืองและภูมิประเทศต่างๆ มากมาย พร้อมกับได้เรียนรู้ภาษาและขนบธรรมเนียมของอเมริกันชนจนเจนจบ ทั้งคู่จึงตกลงใจเปลี่ยนสัญชาติเป็นอเมริกัน และการตระเวนเปิดการแสดงตามที่ต่างๆ ท าให้พวกเขาพอมีเงินที่จะซื้อที่ดินได้ โดยทั้งสองท ารายได้ทั้งหมดประมาณ 60,000 เหรียญสหรัฐฯ ดังนั้นเมื่อทั้งคู่มีอายุได้ 28 ปี ใน พ.ศ. 2382 จึงได้ลงหลักปักฐานที่ต าบลแทรพฮิลล์ ในมลรัฐนอร์ท แคโรไลนา โดยซื้อที่ดินเพื่อปลูกบ้านอยู่ และสามารถซื้อที่ดินท าไร่เป็นของตัวเองบนเนื้อที่ 150 เอเคอร์
แฝดอิน-จันหันไปทำไร่ยาสูบจนประสบความสำเร็จ มีฐานะร่ ารวยขึ้น ต่อมาพวกเขาได้ใช้นามสกุลว่า บังเกอร์ (Bunker) ในปี พ.ศ. 2383 (ค.ศ. 1840) เพื่อให้มีสิทธิเป็นชาวอเมริกัน เพราะทางการไม่ยอมให้โอนสัญชาติหากไม่มีชื่อสกุลเป็นคริสต์ ทั้งคู่เป็นคนไทยค่แรกที่ขอโอนสัญชาติ เมื่อมีอายุได้ 31 ปี อินและจันได้พบรักและแต่งงานพร้อมๆ กัน อินแต่งงานกับมิสซาร่า เยสท์ หรือแซลลี เยตส์ อายุ 20 ปี ส่วนจัน แต่งงงานกับมิสอาดิเลด เยสท์ อายุ 19 ปี โดยทั้งสองคู่ได้ท าพิธีแต่งงานที่โบสถ์เมธอดิสท์ ในวันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2386 (ค.ศ. 1843) โดยอิน-จันปลูกบ้านให้ภรรยาอยู่คนละหลัง ห่างกันประมาณ 1 กิโลเมตร แรกทีเดียวทั้งสี่คนนั้นอาศัยอยู่ด้วยกันในบ้านหลังเดียวกัน ภรรยาของแฝดอิน-จันเป็นลูกสาวของหมอสอนศาสนา ทั้งคู่ได้มีบุตรคนแรกในเวลาไล่เลี่ยกันโดยห่างกันเพียง 6 วัน อินมีลูก 11 คน จันมีลูก 10 คน ระยะเวลาเพียงสิบกว่าปี สองครอบครัวมีลูกรวมกัน 21 คนพอดี ไม่ปรากฏว่าลูกคนใดมีความผิดปกติ นอกจากมีบันทึกว่า 2 คนเป็นใบ้ หลังจากที่ต่างฝ่ายต่างมีลูกได้ 3 คนแล้ว ภรรยาทั้งสองก็ขอแยกไปอยู่ต่างบ้าน ด้วยเหตุผลแรกที่ต้องการพื้นที่เลี้ยงดูลูกมากขึ้น และสาเหตุที่สองคือเพราะภรรยาทั้งสองเริ่มทะเลาะเบาะแว้งกัน อิน-จันจึงลงเอยด้วยการสร้างบ้านใหม่ขึ้นอีกหลังหนึ่ง แล้วไปอยู่บ้านละ 3 วันสลับกันเมื่อผู้หญิงทั้งสองคนต้องมีสามีตัวติดกันจึงจ าเป็นต้องตกลงแบ่งสรรปันส่วนเวลากัน โดยจะผลัดกันอยู่บ้านละ 3 วันเพื่อไม่ให้เสียเปรียบได้เปรียบกัน นอกจากนี้ยังมีการตกลงกันว่า ระหว่างที่อยู่บ้านใครคนนั้นเป็นเจ้าของบ้านถือว่าผู้นั้นใหญ่สุด เจ้าของบ้านจะท าอะไรอีกฝ่ายต้องตามใจทุกอย่าง การที่อิน-จันมีครอบครัวน ามาซึ่งความสงสัยของคนโดยทั่วไปว่า เมื่อเวลาอินหรือจันมีความสัมพันธ์กับภรรยา อีกคนหนึ่งจะอยู่ในลักษณะใด และจะปฏิบัติตัวเช่นไร ซึ่งอินและจันก็ไม่เคยตอบค าถามนี้แก่ใครเลย แต่เรื่องที่เล่ากันก็คือ เพื่อให้เป็นไปตามครรลองของประเพณีอันดีงามและหลีกเลี่ยงค าครหาในยุคนั้น แฝดอิน-จันใช้วิธีขึงผ้าไว้ตรงกลางเวลาหลับนอนกับภรรยา เพื่อกันไม่ให้อีกฝ่ายเห็นรายละเอียดขณะหลับนอน เนื่องจากทั้งสองมีระบบประสาทที่แยกต่างหากจากกัน ฉะนั้นจึงไม่น่าที่อีกฝ่ายจะพลอยตื่นเต้นขึ้นมากมายไปกับความรู้สึกต่างๆ นานาในระดับเดียวกันโดยปริยายไปด้วย อิน-จัน มักเข้านอนเวลาเดียวกันหลับเวลาเดียวกัน ต่างกันเพียงเวลาตื่น จันตื่นนอนก่อนอินประมาณหนึ่งชั่วโมง จันชอบท างานบ้าน ส่วนอินชอบออกไปดูไร่ ที่น่าแปลกก็คือคนสองคนนี้แม้ว่าจะดูเป็นคน ๆ เดียวกันแต่กลับถือนิกายต่างกันอินเป็นแบบติสต์ ส่วนจันถือโรมันคาทอลิค แต่ก็ไม่มีใครปฏิเสธจะเข้าโบสถ์ที่อีกคนหนึ่งเข้าเป็นประจำระหว่างสงครามกลางเมืองระหว่างฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้ในประเทศอเมริกา อินเข้ากับฝ่ายเหนือ จันถือหางฝ่ายใต้ถึงขนาดส่งลูกชายเข้าร่วมรบในสงครามด้วย หลายปีต่อมาหลังแต่งงาน จันกลายเป็นคนติดเหล้า ส่วนอินติดไพ่ และสองพี่น้องทะเลาะเบาะแว้งกันอย่างไม่หยุดหย่อน ว่ากันว่า อินกับจันนิสัยไม่ค่อยเหมือนกัน อินเป็นคน เรียบร้อยชอบอยู่เงียบๆ ว่านอนสอนง่าย ช่างฝัน ใจเย็น และมักจะเป็นฝ่ายยินยอมอ่อนตาม แต่มีข้อเสียคือชอบเล่นไพ่ ส่วนจันเป็นคนโผงผาง ใจร้อน โมโหง่าย เป็นผู้น า และชอบกินเหล้า บ่อยครั้งที่ทั้งสองมีความคิดที่จะ ผ่าตัดแยกตัวแต่ก็ต้องล้มเลิกไปทุกครั้ง พ.ศ. 2414 แฝดอิน-จัน มีอายุได้ 60 ปี จึงหยุดการแสดงโชว์ หลังจากนั้น อินและจันเกิดป่วยเป็นอัมพาตซีกขวา อินทั้งดื่มสุราจัดด้วย จึงท าให้สุขภาพของจันเสื่อมโทรมลงไปด้วย แพทย์ ตรวจพบว่าจันป่วยเป็นโรคหลอดลมอักเสบ มีอาการรุนแรงและทรุดลงเรื่อยๆ จนกระทั่งในคืนวันที่ 17 อินเห็นดังนั้นจึงขอร้องให้จันไปนอนพักผ่อน แต่จันอ้อนวอนอินให้นั่งหน้าเตาผิงเป็นเพื่อนเขาต่อไป ในเวลา ต่อมาเมื่อจันรู้สึกดีขึ้นเขาจึงยอมเข้านอน เมื่อจันเข้านอนได้ไม่นานนัก อินก็พบว่าจันได้ตายจากเขาไปเสียแล้ว ไม่มีใครรู้ซึ้งถึงจิตใจของอินว่าความผูกพันด้านจิตใจของเขาต่อคู่แฝดที่จากไปนั้นมันล้ าลึกแค่ไหน อินนอน กอดศพจันที่หมดลมหายใจไปแล้วอยู่ตลอดเวลา จนอีกสองชั่วโมงต่อมาอินก็ตายตามจันไปอย่างสงบ รวมอายุ ได้ 62 ปี ศพของคนทั้งคู่ฝังอยู่ที่สุสานของโบสถ์ไวท์เพลนส์ เมืองเมาท์แอรี สหรัฐอเมริกา
กระทรวงการต่างประเทศ นำฝาแฝดคู่นี้ไปประเทศสหรัฐอเมริกา มีกำหนดสามปี โดยจ่ายเงินให้แก่แม่ของอิน - จัน เป็นเงิน ๑,๖๐๐ บาท ฝาแฝดอิน - จัน ได้ไปแสดงตัวที่เมืองบอสตัน ในสหรัฐอเมริกา เป็นแห่งแรก ผู้คนพากันมาชมกันเป็นจำนวนมาก เมื่อ อิน - จัน บรรลุนิติภาวะก็ได้แยกตัวออกจากมิสเตอร์ฮันเตอร์ แล้วไปแสดงในที่ต่าง ๆ มีคนมาชมเป็นจำนวนมากทั้งสองช่วยกันคิดแบบการแสดงต่าง ๆ ให้เห็นความว่องไวและพละกำลัง มีการหกคะเมนตีลังกา เป็นต้น จนหาเงินได้ร่ำรวย สามารถซื้อที่ดินทำไร่ที่รัฐนอร์ธแคโรไลนา เมืองเวิลด์โปโร เริ่มกิจการทำไรยาสูบที่รัฐเวอร์จิเนีย ประสบผลสำเร็จอย่างดี มีทาสและคนงานในไร่ถึง๓๓ คน พออายุได้ ๓๒ ปี ทั้งสองก็ได้แต่งงานกับหญิงชาวอเมริกันสองคน ทั้งคู่มีลูกชายและลูกสาวหลายคน ต่อมาทั้งสองได้เดินทางไปแสดงที่ยุโรปหลายครั้งทั้งสองถึงแก่กรรมเมื่อปี พ.ศ.๒๔๑๗ เมื่ออายุได้ ๖๓ ปี ทั้งสองสิ้นใจห่างกันสองชั่วโมง และเพื่อเป็นอนุสรณ์แก่อิน - จัน ที่สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทย ทางจังหวัสมุทรสงคราม จึงได้สร้างอนุสรณ์สถานแฝดอิน-จัน ขึ้นที่ตำบลลาดใหญ่ อำเภอเมือง ฯพื้นที่บริเวณเดียวกับที่จะสร้าง พิพิธภัณฑ์เรือ โดยมีเนื้อที่ถึง10 ไร่เศษ โดยสร้างรูปหล่อแฝดสยามขนาดเท่าครึ่งของตัวจริง และในส่วนบริเวณรอบรอบ ทางจังหวัดสมุทรสงครามได้ปรับปรุงทัศนียภาพรอบอนุสรณ์สถานแฝดอิน-จัน เพื่อให้เป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจ สถานที่ออกกำลังกาย สนามเด็กเล่น และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกแห่งหนึ่ง ของจังหวัดสมุทรสงคราม
ชื่อเสียงของอิน-จัน ทำให้เกิดคำเรียกแฝดตัวติดกันว่า แฝดสยาม (Siamese twins) ตามชื่อเรียกประเทศไทยในเวลานั้น ทั้งคู่เสียชีวิตเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2417 ภายหลังได้มีการสร้าง
อนุสรณ์สถานแฝดสยามอิน-จัน ที่ ต. ลาดใหญ่ เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานแด่ฝาแฝดสยามอิน-จันที่ได้สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยไปทั่วโลก
อนุสรณ์สถานแฝดสยามอิน-จันและพิพิธภัณฑ์เรือ ตั้งอยู่ตำบลลาดใหญ่ ริมถนนเอกชัย (ห่างจากศาลากลางจังหวัดประมาณ 4 กม.) เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานแด่ฝาแฝดสยามอิน-จันที่ได้สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยไปทั่วโลก ภายในบริเวณเป็นลานกว้างประดับด้วยต้นไม้ดอกไม้ อนุสรณ์แฝดสยามอิน-จันตั้งอยู่กลางลาน ด้านหน้ามีสระน้ำขนาดใหญ่ นอกจากนี้ยังมีอาคารโถงจัดแสดงชีวประวัติของแฝดสยามอิน-จัน “ แฝดสยามอิน-จันเกิดที่จังหวัดสมุทรสงครามเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ.2354 (ค.ศ.1811) ประมาณปีพ.ศ.2371-2372 (ค.ศ.1828-1829) กัปตันคอฟฟินและฮันเตอร์เดินทางมาติดต่อการค้าที่แม่กลอง พบฝาแฝดคู่นี้จึงขอนำกลับไปอเมริกาและอังกฤษ เพื่อเปิดการแสดงในที่ต่างๆ เรื่องราวชีวิตของแฝดสยามอิน-จัน ฝาแฝดที่มีร่างกายท่อนบนติดกันและสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างปกติยาวนานจนถึงอายุ 63 ปี ได้รับการกล่าวขานทำให้ประเทศไทยเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกในชื่อ “Siamese Twin” ในอาคารโถงเดียวกันนอกจากชีวประวัติแฝดสยามแล้ว ยังแบ่งพื้นที่ส่วนหนึ่ง เป็น พิพิธภัณฑ์เรือ รวบรวมเรือพื้นบ้านหลายชนิดมาจัดแสดงไว้เพื่อให้เป็นที่ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ของชาวแม่กลอง พิพิธภัณฑ์เรือเปิดตั้งแต่เวลา 08.00-16.00 น. เสาร์-อาทิตย์ 08.00-12.00 น . ค่าเข้าชม 15 บาท สอบถามรายละเอียด โทร. 0 3471 1333

วันศุกร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ตลาดน้ำอัมพวา


อัมพวาเป็นตลาดน้ำยามเย็นจะมีทุกวันศุกร์ ตั้งแต่เวลา 15.00 -22.00 น.วันเสาร์ และวันอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 12.00-22.00 น. ตลาดน้ำโดยทั่วไปมักจะจัดขึ้นในเวลากลางวัน แต่ตลาดน้ำยามเย็น ที่อัมพวาแห่งนี้ จะจัดขึ้นในช่วงงเวลาเย็นเรื่อยไปจนถึงเวลาพลบค่ำ ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นตลาดน้ำแห่งแรกของประเทศไทย ที่จัดในลักษณะเช่นนี้ ในตอนเย็นชาวบ้านจะเริ่มทยอยพายเรือนำสินค้าหลากหลายนานาชนิด อาทิ อาหาร ผลไม้ พืชผัก ขนม ของกินของใช้ มาขายให้กับนักท่องเที่ยว หรือคนในท้องถิ่นที่สัญจรไปมาที่ตลาดอัมพวา ทำให้ได้สัมผัสกับธรรมชาติของชีวิตของชุมชนริมน้ำ ซึ่งเป็นที่น่าประทับใจอย่างยิ่ง นักท่องเที่ยวสามารถที่จะหาซื้ออาหารมานั่งรับประทาน บริเวณริมคลองอัมพวาติดกับตลาดน้ำ ซึ่งได้มีการจัดสถานที่ไว้ ทำให้มีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น จุดมุ่งหมายของอัมพวาที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เดินทางไปเที่ยวก็คือ การได้ริ้มชิมรสชาติอาหารต่างๆ ที่พ่อค้าแม่ขายมีวางขายกันไม่ว่าจะเป็น "กระเพาะปลาอัมพวา ก๋วยตี๋ยวโบราณอัมพวา ข้าวเหนียวมะม่วงอัมพวา หอยทอดยอดชายอัมพวา ทอดมันสมุนไพรหัวปรีอัมพวา วังแสงกาแฟโบราณอัมพวา ปอเปี๊ยะอัมพวา ร้านข้าวราดแกงหัวมุมอัมพวา น้ำพร้าวอัมพวา เฉาก๊วยอัมพวา" และอีกมากมายหลายอย่างที่คนอัมพวาเค้านำเสนอ ไม่ว่าจะเป็นผลไม้อย่างส้มโออัมพวา ลิ้นจี่อัมพวา มากมายหลายอย่างให้เลือกของแห้ง ของคาว ของสด อิ่มหนำสำราญกันไปเลย แต่จะให่อร่อยต้องกินกันตรงนั้นเลย เบียดกันนิดเบียดกันหน่อยอบอุ่นดีครับ เพราะบรรยากาศเหมือนอยู่บ้านเลย อยากกินอะไรก็ตะโกนสั่งตรงนั้น นั่งกินตรงนั้นได้เลย กินอิ่มแล้วก็ลุกเพื่อให้ คนข้างหลังจะได้กินมั่ง วนเวียนกันไปจะได้ทั่วถึง

วันพุธที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Mother's Day


Mother's Day is celebrated to honor all mothers and express gratitude for the hardships they bear in bringing up a child. Most countries including US, Australia, Canada and India celebrate Mothers Day on the second Sunday of May. Mothers Day came into being due to the efforts made by Ms Julia Ward Howe and Ms Anna Jarvis. The Resolution for having a dedicated Mother's Day was signed by US President Woodrow Wilson on May 8, 1914. Since then people across the world have been celebrating Mothers Day with joy and devotion.

วันอาทิตย์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Dogster stats for Mishka


Nicknames:Mishka-Moo, MooMoo
Quick Bio:-pound dog
Likes:Belly rubs, playing with rocks, sleeping at my feet, and SNOW!!!
Pet-Peeves:When her brother Duke acts puppy-like around her.
Favorite Toy:ROCKS!!!!
Favorite Walk:Tanner Park
Best Tricks:Snorkeling for rocks, "dance", checking in every few minutes on off-leash walks, herding foster puppies.
Arrival Story:Mishka and her litter were taken to the Humane Society. We have one of her littermates (Duke), and our friends have another (Dutchess).
Bio:Mishka is a proper little princess. She prides herself on proper behavior - she will NOT "dance" or act silly in front of any visitors, and she gets SO EMBARASSED when her brother Duke behaves like a puppy. Rocks are the greatest thing in the world to her. She will carry them up hills to chase them on the way down, she will knock them into a creek then "snorkel" until she pulls up that same rock, and she will slide down hills with her front paws planted on a flat rock. Her name means "Little Bear" in Russian, since the breed is from Russia. When we brought her home, she looked (and loped!) like a little bear cub.
The Groups I'm In:Haute Dogs of SLC, The Dogs of Utah, You'll find me at Tanner Park! Salt Lake City
I've Been On Dogster Since:December 5th 2004 More than 5 years!
Rosette, Star and Special Gift History
Dogster Id:93856

วันพฤหัสบดีที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2553

โรงแรมที่แพงที่สุดในโลกค่ะ

โรงแรมที่แพงที่สุดในโลกค่ะ
โรงแรม 7 ดาว แห่งเดียวในโลกใบนี้


โรงแรมนี้เชื่อว่าเป็น โรงแรมที่แพงที่สุดและ ดีที่สุดในโลกก็ว่าได้ โรงแรมนี้ เข้าไปฟรีๆเหมือน โรงแรมอื่นไม่ได้นะ แค่จะเข้าไปถ่ายรูปต้องเสียตัง แล้วก็ มีรถ ลีมูซีนอย่างดี ไปรับไปส่งท่านถึงหน้าประตูโรงแรมค่ะ เชื่อว่า ถ้า เค้าหาวิธีที่จะไปส่งท่านถึงเตียงได้โดยท่านไม่ต้องเดินเค้าก็คงทำไปแล้ว 55 โรงแรมนี้เป็นโรงแรมที่ทำให้ Dubai ขึ้นชื่อประเทศ ท่องเที่ยว เลยนะ คิดดูสิ สำคัญไฉน ซึ่ง โรงแรมนี้ เนี่ย ไม่ได้มีห้องพักแบบธรรมดานะคะ ทุกห้องเป็น Suite หมด ห้องที่เล็กที่สุด กินเนื้อที่ถึง 169 ตารางเมตรแน่ะ ห้องที่ใหญ่สุดก็กว่า 780 ตารางเมตร ซึ่ง ราคาที่พัก เริ่มต้นที่ US$1000-US$15000 The Royal suite ห้องที่แพงที่สุดราคาตกที่ US$28000ต่อคืนนะ และเป็นโรงแรมที่มี โถง Lobby สูงที่สุดด้วยค่ะ สูง 590 ฟุต


ห้างที่แพงที่สุดในโลก






อยู่ที่ Dubai อีกแล้วค่ะและยังเป็น ห้างที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วยนะ
สวนน้ำที่แพงที่สุดในโลก




สวนน้ำแห่งนี้ตั้งอยู่ที่ Jumeirah Beach Hotel ค่ะ ใน Dubai อีกละ แต่มันสวยสมชื่อจิงๆนะ กรี๊ดๆๆ อยากไป Dubai



วันอาทิตย์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ประธานาธิบดีฝรั่งเศสคนใหม่


สำนักข่าวต่างประเทศรายงานวันนี้ (7 พ.ค.) ว่า การเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศสรอบ 2 ซึ่งเป็นการชิงชัยระหว่างนายนิโคลาส์ ซาร์โคซี นักการเมืองฝ่ายขวา อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กับนางเซเกอลีน โรยาล นักการเมืองฝ่ายสังคมนิยม อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อม ได้ปิดหีบลงแล้ว เมื่อเวลา 20.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น หรือตรงกับเวลา 01.00 น.ตามเวลาในประเทศไทย


โดยผลการหยั่งเสียงผู้มีสิทธิเลือกตั้งภายหลังการลงคะแนนหรือ เอ็กซิท โพลล์ ระบุว่า นายซาร์โคซี มีคะแนนเสียง 53% ขณะที่นางโรยาล ได้คะแนนเสียง 47% คาดว่ามีผู้มีสิทธิเลือกตั้งชาวฝรั่งเศสออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งถึง 44.5 ล้านคนหรือ 88.5%


ภายหลังการทราบผลการเลือกตั้งเบื้องต้น นายนิโคลาร์ ซึ่งได้รับชัยชนะจากผลการเลือกตั้งเบื้องต้นด้วยคะแนน 53% กล่าวปราศรัยต่อผู้สนับสนุนว่า รู้สึกภาคภูมิใจที่ได้รับความไว้วางใจให้เป็นประธานาธิบดีของประเทศที่มีประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ โดยขอขอบคุณผู้สนับสนุนทุกคน นอกจากนี้นายนิโคลาร์ ยังขอแสดงความระลึกถึงและเคารพในแนวคิดของผู้สมัครคู่แข่งจากฝ่ายสังคมนิยม ที่ได้แสดงไว้ในระหว่างการหาเสียงเลือกตั้ง


พร้อมกันนี้ยังขอยืนยันว่า จะเป็นประธานาธิบดีของชาวฝรั่งเศสทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนที่ลงคะแนนเสียงให้ตนหรือไม่ อย่างไรก็ตามอยากบอกว่า ชัยชนะที่เกิดขึ้นในวันนี้ ไม่ใช่ชัยชนะของตนเท่านั้น แต่ถือเป็นชัยชนะของประชาธิปไตยในฝรั่งเศส


ทั้งนี้ นายนิโคลาร์ ยังยืนยันว่าจะสร้างความภาคภูมิใจให้กับชาวฝรั่งเศส โดยจะเร่งให้เกิดความเปลี่ยนไปสู่สิ่งที่ดีกว่าโดยเร็ว และจะไม่ทอดทิ้งประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน ไม่ว่าจะมาจากกลุ่มใดก็ตาม ขณะเดียวกันก็ขอให้ประเทศเพื่อนบ้านในสหภาพยุโรปสบายใจได้ว่า ตนจะเดินหน้าสนับสนุนการดำเนินงานของสหภาพยุโรปต่อไป อีกทั้งพร้อมที่จะเป็นพันธมิตรของสหรัฐอเมริกาอีกด้วย