วันอังคารที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2552

"หัวกะโหลกฮิตเลอร์" แท้จริงแล้วเป็นของผู้หญิง

หนังสือพิมพ์ของสหรัฐฯในเดือนพฤษภาคม ปี 1945 รายงานข่าวการเสียชีวิตของฮิตเลอร์ ผู้นำนาซีเยอรมนี

เอเอฟพี - ผลตรวจดีเอ็นเอของนักนักวิจัยในสหรัฐฯ ระบุว่า กะโหลกทีคิดว่าเป็นของอดอล์ฟ อิตเลอร์ แท้จริงแล้วเป็นของผู้หญิงคนหนึ่ง ก่อให้เกิดความสงสัยเกี่ยวกับการตายของผู้นำนาซีคนนี้มากยิ่งขึ้น ชิ้นส่วนกะโหลกศีรษะนั้นมีรูกระสุนปืน และสนับสนุนทฤษฎีที่ระบุว่า ฮิตเลอร์ยิงตัวเองตายและดื่มยาพิษในบังเกอร์ในเบอร์ลิน ขณะที่กองทัพโซเวียตกำลังรุกคืบเข้ามาในปี 1945 แต่ทั้งนักประวัติศาสตร์และนักวิจัยจำนวนมากยังตั้งข้อสงสัย กระทั่งบางคนคิดว่า ฮิตเลอร์หลบหนีไปได้เสียด้วยซ้ำ ในปี 2000 มีการนำกระดูกชิ้นั้นมาจัดแสดงเป็นครั้งแรกที่หอจดหมายเหตุในกรุงมอสโก ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะจากสงครามที่ชาวรัสเซียต่างภาคภูมิใจยิ่ง โดยยืนยันว่าเป็นกะโหลกศีรษะของฮิตเลอร์จากหลักฐานทางทันตกรรมของเขา แต่ล่าสุด ผลการศึกษาจากผู้เชี่ยวชาญในสหรัฐฯ ออกมาลบล้างเรื่องราวนั้น โดยนักโบราณคดีและผู้เชี่ยวชาญเรื่องกระดูก นิค เบลแลนโทนี และศาสตราจารย์ลินดา สเตราส์โบห์ ผู้อำนวยการศูนย์พันธุกรรมมหาวิทยาลัยคอนเน็ตติกัต ออกมาเปิดเผยว่า ผลการตรวจดีเอ็นเอยืนยันว่า แท้จริงแล้วกะโหลกชิ้นนั้นเป็นของผู้หญิงคนหนึ่งที่น่าจะอายุระหว่าง20-40 ปี การเปิดเผยคราวนี้ถูกถ่ายทำเป็นสารคดีที่ออกอากาศในช่องอิสทอรี่ชาแนลในตอนชื่อ"การหนีของฮิตเลอร์" ซึ่งเป็นการย้ำถึงทฤษฎีที่บอกว่าฮิตเลอร์อาจหลบหนีออกจากเบอร์ลินไปก่อนที่ทหารโซเวียตจะจับกุมเข้าได้ อย่างไรก็ตามทีมวิจัยระบุว่า ผลการศึกษาของพวกเขาไม่สามารถบอกถึงชะตากรรมของฮิตเลอร์ได้ เพียงแต่ยืนยันว่ากะโหลกศีรษะที่คิดว่าเป็นของฮิตเลอร์นั้นเป็นของผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ไม่ทราบว่าเป็นใครมาจากไหน ด้านศาสตราจารย์คริสโตเฟอร์ บราวนิ่ง แห่งมหาวิทยาลัยนอร์ทแคโรไลน่าและนักประวัติศาสตร์ด้านโฮโลคอสต์ กล่าวว่า ผลการตรวจสอบกะโหลกชิ้นนี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงข้อสรุปที่ระบุว่า ฮิตเลอร์ตายในบังเกอร์ โดยเขาชี้แจงว่า นักประวัติศาสตร์ไม่ได้พึ่งพาหลักฐานจากทหารโซเวียตมายืนยันเท่านั้น แต่ยังมีการศึกษาและตรวจสอบอื่นๆ ที่บ่งบอกว่าฮิตเลอร์เสียชีวิตในบังเกอร์ รวมถึงยังใช้ผลการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่ข่าวกรองของอังกฤษที่รวบรวมหลักฐานยืนยันเกี่ยวกับผู้พบศพของฮิตเลอร์และอีวา บราวน์ ภรรยาของฮิตเลอร์ด้วย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น